Home »
ธรรมะ
»
ปลดบ่วงกรรม ในอาชีพการงาน ทำให้รุ่งเรืองแบบ ทันตาเห็น
ปลดบ่วงกรรม ในอาชีพการงาน ทำให้รุ่งเรืองแบบ ทันตาเห็น
บางคนเกิดมามีอาชีพการงานที่ดี
ได้ทำงานตำแหน่งสูง ๆ เงินเดือนสูง หรือ
บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่าหลายพันล้าน
ในขณะที่บางคนต้องทำงานหนักไปตลอดชีวิต ได้ทำงานที่ต่ำ ต้ อ ย
ติดขัดไปเสียทุกเรื่อง ก็เพราะ ทำกรรมมาต่างกัน ผลที่ได้จึงต่างกัน
กรรม
หมายถึง การกระทำ และ การกระทำนั้นก็จะส่งให้เกิด ผลของการกระทำ
ในเวลาต่อมาคนเราเกิดมาต่างกันและมีวิถีชีวิตที่ต่างกันก็เพราะ
“แต่ละคนต่างมีกรรมเป็นของตนเอง โชคชะตา
และวิถีชีวิตของคนแต่ละคนที่ประสบอยู่ในเวลาปัจจุบัน
ก็เป็นผลมาจากการกระทำของแต่ละบุคคลทั้งสิ้น”
“กรรม”
คือ กฎของเหตุและผลนั่น คือ”เหตุ” ที่ได้กระทำ จะนำมาซึ่ง “ผล”
ที่ต้องได้รับ “ผล” ที่ได้รับอยู่ในขณะนี้แสดงถึง “เหตุ”
หรือเคยกระทำไว้นั่นเอง สมัยนี้คนที่ร่ำรวยประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ธุรกิจการค้า พูดกันว่า เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องเฮงด้วย
คำว่า”เฮง”แล้วจริงๆ คือ บุญและกรรมดีที่ทำมา แต่หลายคนยิ่งทำยิ่งจน
ยิ่งทำก็เหมือนไม่ก้าวหน้า
ยิ่งทำก็เหมือนเดินฝ่าความมืดไม่ประสบความสำเร็จเสียที
บางคนหนักทำแล้วเจ๊งมาหลายครั้งทั้งๆ ที่ตั้งใจอย่างเต็มที่
ซึ่งมีหลายเหตุหลายปัจจัย
ที่สกัดความเจริญเอาไว้ หากในกรรมปัจจุบัน ก็ต้องดูที่ตนเองก่อนว่ามี 4
เก่งไหม ทั้งเก่งตน เก่งคน เก่งงาน เก่งเงิน หรือไม่
หรือมีช่องทางทำได้เหมาะสมหรือไม่ มีกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือค้ำจุนหรือไม่
หรือแม้ตนเองจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมมีกำลังทรัพย์และสติปัญญาดีอยู่แล้ว
แต่วันๆ ทุกลมหายใจเสียเปรียบใครไม่เป็น ให้ใครไม่ได้
คิดจะเอาแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้งเสมอ คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
ค้ากำไรเกินควร เอาเปรียบคนอื่น แบบใครเขาจะเดือดร้อน ใครเขาจะไม่สบายใจ
หรือไปขัดขวางประโยชน์ของคนอื่นก็ทำทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดี
หรืออาจเป็นผู้ที่ชอบกดขี่คนอื่นให้มาทำงานให้แต่ไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนตามสมควรที่เขาผู้นั้นควรจะได้
พยายามกีดกันเงินไว้ทั้งๆที่ควรจ่ายก็ไม่ยอมจ่าย
โดยสรุปใจความรวมแล้วการที่คนเราทำงานหนักแล้วไม่ค่อยได้ผลไม่เจริญก้าวหน้าก็เพราะ
มีสาเหตุใหญ่คือ กิเลสต่ำ ความโลภ ความตระหนี่
ความเห็นแก่ได้เป็นเหตุให้ปิดทาง อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ ที่มาเหนี่ยว
มาฉุดรั้งความเจริญไม่ให้ประสบความสำเร็จ ก็คือ
กรรมเก่าและเจ้ากรรมนายเวร!!! สำหรับเจ้ากรรมนายเวรนั้น
ครูบาอาจารย์ท่านแยกเจ้ากรรมนายเวรไว้มี 2 ประเภทเพื่อให้เข้าใจง่าย คือ
เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตและเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิต
ประเภทที่หนึ่ง
เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต
หมายถึง ผู้ที่เกิดอาศัย “ในภพภูมิเดียวกับเรา”
เป็นผู้ที่มาสร้างความเดือดร้อน สร้างความทุกข์
คอยมาเบียดเบียนทำร้ายให้สูญเสียทั้งกาย วาจา ใจ ทรัพย์ หรือให้บาดเจ็บ
ในลักษณะต่าง ๆ
อาจเป็นได้ทั้งพ่อแม่บุพการี
ลูกหลาน หรือญาติสนิทหรือไม่สนิท คนรัก คู่ครอง เพื่อนฝูงคนรู้จัก
ผู้ร่วมงาน เพื่อนบ้าน คนที่เพิ่งรู้จัก หรือใครก็ตาม
หรืออาจเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีชีวิตที่เราเลี้ยง ทำให้เรามีทุกข์
หรือเหมือนติดคุกไปไหนไม่ได้ต้องเฝ้าเลี้ยงดู
หรือเราไม่ได้เลี้ยงแต่สัตว์เข้ามาทำร้ายเราให้ได้รับบาดเจ็บให้พิการหรือแม้กระทั่งถึง
ต า ย ก็เป็นไปได้เช่นกัน
ประเภทที่สอง
เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิต
หมายถึง “เป็นผู้ที่อยู่ต่างภพภูมิกับเรา” คือ อมนุษย์ หรือไม่ใช่มนุษย์
เป็นสิ่งที่มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น เป็นจิตวิญญาณที่แค้นอาฆาต
พร้อมที่จะมาสร้างความเดือดร้อนให้เราได้ในทางใดทางหนึ่ง
ซึ่งวิธีการที่เขาจะก่อความเดือดร้อนให้เรานั้นเป็นเรื่อง
“เหนือวิสัย”ของจิตมนุษย์ธรรมดาจะรับรู้ได้
นอกจากผู้ปฏิบัติธรรมชั้นสูงดังที่ครูบาอาจารย์แห่งแผ่นดินธรรม
ท่านเจอและเล่ามาโดยตลอดไม่ขาดสาย เพื่อเตือนสาธุชนทั้งหลายเป็นเรื่องของกรรมเก่าและเจ้ากรรมนายเวร
สำหรับคนที่ทำงานแล้วไม่เจริญ
ไม่ค่อยได้ผลนั้นอาจจะมีสาเหตุอยู่หลายประการ เช่นในอดีตชาติ
(รวมถึงชาตินี้ด้วย เมื่อรู้แล้วอย่าทำอีกเป็นอันขาด)
เวลาไปทำบุญทำทานที่วัด
เมื่อพบของทำทานเหลือจากพระสงฆ์และท่านได้อนุญาตแล้ว
แทนที่จะบริจาคต่อไปให้กับคนที่ทุกข์ยากกว่าได้กินได้ใช้ กลับเอาไปทิ้งเสีย
คือ ไม่เจือจานไปยังผู้อื่นหรือประเภทถวายหนึ่งถ้วยเอากลับบ้านหนึ่งถัง
หรือกรณีในการทำบุญเมื่อมีคนมาชวนทำบุญก็กลับปฏิเสธ
เพราะไม่อยากทำหรือบางครั้งก็ขัดขวางไม่ให้คนอื่นได้สร้างบุญด้วย
หรือมาจากกรรมที่มาจากรับปากใครแล้วไม่ทำตามที่รับปาก ผิดคำพูดบ่อยๆ
จนคนอื่นได้รับความเดือดร้อนจากคำพูดของตนเอง
หรือไปกลั้นแกล้งคนอื่นเขาไว้ในอดีตชาติ บีบคั้นให้คนและสัตว์ทำงานหนักมาก
โดยไม่ให้ค่าตอบแทนหรืออาหาร บางครั้งก็ทำเป็นลืมๆ ไป
ปล่อยให้เขาต้องทำงานหนัก หิวโหยและทนทุกข์ทรมานต่อการกระทำนั้น
หรือมีนิสัย
ดุ ร้ า ย เลี้ยงดูบุตรหลานอย่างเข้มงวดเกินไป
ทุบตีหรือให้ทำงานที่เกินกำลังของเขาหรือให้ไปทำผิดศีลทั้งๆ ที่รู้
แล้วเอาเงินนั้นมาบำเรอความสุขของตนปล่อยให้ลูกทุกข์ทรมาน
บุญล้างบาปไม่ได้
ไม่มีอะไรล้างบาปได้ เพราะเหตุเกิดขึ้นจนสำเร็จแล้ว
ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกเสมอว่า ให้สร้างบุญ สร้างบ่อยๆ ตามกำลังเรา
สร้างด้วยจิตฝ่ายดีที่มีกำลัง ผลบุญใหม่ที่เราทำ
จะพาเราหนีกรรมที่กำลังจะมาส่งผลหรือที่กำลังส่งผลได้
ยิ่งไปรวมกับกรรมดีที่เราต้องเคยทำมาในภพชาติอื่นที่รอส่งผล
เป็นผลกรรมฝ่ายดีที่มีอำนาจมากขึ้นก็จะทำให้ชีวิตเจริญมีความสุขขึ้น
ไม่ใช่เอาไปล้างกรรมแก้กรรมอะไร มันทำไม่ได้ เราต้องปรับตนเองให้ดี
ให้บริสุทธิ์เสียก่อนยิ่งดีมาก บริสุทธิ์มาก ก็จะเกิดผลดีมากตามกำลังนั้น
โดยการสร้างบุญบารมีให้เป็นฐานแห่งบุญใหม่คอยรองรับให้ถูกวิธี
ให้ถูกต้องตรงทางด้วยความอดทนและเพียรกระทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมแล้วผลก็จะเกิดขึ้นเอง ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า
“เมื่อบุญถึง จะทำอะไรก็สำเร็จ ไม่มีอำนาจใดมาขวางทางบุญได้”
ขอบคุณแหล่งที่มา : Sanook.com