Home »
Uncategories »
อย่าเพิ่งหมดไฟ มาดู นิทานญี่ปุ่น “เศรษฐีฟางเส้นเดียว” ก่อน
อย่าเพิ่งหมดไฟ มาดู นิทานญี่ปุ่น “เศรษฐีฟางเส้นเดียว” ก่อน
นิทานญี่ปุ่น “เศรษฐีฟางเส้นเดียว”
เนิ่นนานมาแล้วในสมัยหนึ่ง มีชายหนุ่มผู้กำพร้าพ่อแม่และยากจนมากอยู่นายหนึ่งชื่อ ” ทาโร่ “
เขาต้องอาศัยอยู่ ตัวคนเดียวไร้บ้านช่องที่หลับนอนหรือแม้แต่ พื้นที่
ๆจะเอาไว้ทำมาหากินสักผืน ก็ไม่มีกับใคร เขาเลยแม้แต่สักกระหยิบมือเดียว ”
ทาโร่ ” จึงต้องจำเป็นที่จะต้องไปขออาศัยอยู่ในที่
ๆของคนที่พอมีอันจะกินอยู่ บ้างคนหนึ่ง
และขอยืมใช้โรงนาเก่า ๆที่เกือบจะพังมิพังแหล่ของเขานั้น
แบ่งที่ทำเป็นที่หลับนอนและอาศัยอยู่
โดยจะตอบแทนด้วยการช่วยทำไร่ทำนาให้กับเขาเป็นการแลกเปลี่ยน
และหากินเป็นคนรับจ้างเขาทำนาแลกข้าว แลกน้ำเลี้ยงตัวเองเรื่อยมา
” ทาโร่ “
นั้นถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ยากจนค้นแค้นสักเพียงใดก็ตาม
แต่เขาก็เป็นคนที่ขยันขันแข็งและเป็นคนดี ในทุก ๆวัน
ด้วยเป็นเพราะเขาไร้ญาติขาดพ่อแม่พี่น้อง ” ทาโร่ ”
จึงยึดถือและเคารพเจ้าแม่กวนอิมมาก ในทุกวัน เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ” ทาโร่ ”
จะไปที่ศาลเจ้าและจะเข้าไปกราบไว้ขอพรจากเจ้าแม่กวนอิมไม่เคยได้ขาด
และวันนี้ ก็เป็นเหมือนกับทุก ๆวันที่ผ่านมา ” ได้โปรดเถิดเจ้าแม่
ข้าน้อย นั้นไม่ว่าจะขยันขันแข็ง ทำงานจนสายตัวแทบจะ ขาดอย่างไรก็ตามที
ก็ไม่เห็นว่าจะเกิดความสบายขึ้นมาได้เหมือนกับใครเขาบ้างเลย
แม้แต่สักน้อยนิด ได้โปรด ช่วยดลบรรดาล และช่วยให้ข้าน้อยได้มีโอกาส
และได้มีความสบายขึ้นมาบ้างเหมือนกับใคร ๆเขา สักนิดด้วย เถิด ”
แล้วในคืนวันหนึ่ง ” ทาโร่ ” ก็นิมิตฝันไปว่า อยู่
ๆที่ตรงหัวนอนของเขานั้น ก็ได้เกิดมีแสงประกายสว่างไสวขึ้น
และเจ้าแม่กวนอิมที่เขาได้ไปกราบขอพรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น
ได้ออกมาปรากฏกาย ต่อหน้าเขา และบอกกับ เขาว่า ” ทาโร่ เจ้าคนที่น่าสงสาร
ข้าจะบรรดาลมอบสิ่งที่ดีสิ่งหนึ่งให้กับเจ้า
พรุ่งนี้สิ่งแรกที่เจ้าได้จับเอาไว้ในมือ เป็นสิ่งแรกนั้น
เจ้าจงถือสิ่งนั้นเอาไว้ให้ดี
เพราะมันจะช่วยดลบรรดาลให้เจ้าโชคดีและมีความสุขขึ้นมาได้ในภาย
ภาคหน้า…จำไว้นะ” ทาโร่ ” จงถือสิ่งนั้นติดมือของเจ้าเอาไว้ให้จงดี ”
เมื่อ” ทาโร่
“ได้กล่าวขอบคุณและตอบรับแล้ว…เจ้าแม่กวนอิมก็ได้จางหายไปในทันที…เมื่อรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาใน
ตอนเช้าแล้ว ” ทาโร่ ” จึงด้วยความดีใจเป็นอย่างที่สุด
เขารีบแต่งตัวแต่โดยไว แล้วออกเดินทางไปที่ศาลเจ้าทันที
เพื่อหมายที่จะไปทำความเคารพขอบคุณกับเจ้าแม่กวนอิมต่อหน้าท่านอีกครั้งหนึ่ง
ที่ได้มาเข้าฝัน
ซึ่งมันทำให้เขา มีกำลังใจที่จะคิดต่อสู้กับชีวิตขึ้นมาอย่างมาก เมื่อ”
ทาโร่ ” ทำการกราบไหว้และขอบคุณเจ้าแม่กวนอิมเสร็จเรียบ ร้อยแล้ว
ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกมาจนเกือบจะพ้นจากปากประตูของศาลเจ้าอยู่รอมล่อ
รอมล่อ แล้วตรง นั้น….
เขาก็เกิดเดินสะดุดหินก้อนหนึ่งเข้า
และได้หกล้มลงไปนอนหมอบอยู่ที่ตรงหน้าประตูศาลเจ้านั้นอย่างหมดท่า
แต่เมื่อเขายันกายลุกขึ้นมาได้ และมองไปที่มือของเขา่่้เท่านั้น
ก็พลันได้เห็นว่า ได้มีฟางเส้นหนึ่งและตัวเองก็ได้
กำมันเอาไว้จนแน่นอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ” โอหยา
โอหยา…เดี๋ยวก่อน !
หรือของนี่คือของที่เจ้าแม่กวน อิมได้บอกว่าจะประทานให้ล่ะ
!..มันคือฟางนี่น่ะหรือ ? ฟางเส้นเล็ก ๆ
ที่ไร้ค่าเส้นนี้น่ะ…ที่จะช่วยทำให้ข้าโชคดีขึ้น มาได้…
จะเป็นไปได้อย่างไรเล่านี่ ? ”
ทาโร่ให้เป็นไม่อยากที่จะเชื่อและมั่นใจเอาเสียเลยจริง ๆ ต่อฟางเส้นนั้น
แต่ว่า…ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดหรือโกหกตัวเองว่ามันต้องไม่ใช่อย่างไรก็ไม่เป็นผล
เพราะฟางเส้นนี้น่ะ…มันเป็น สิ่งแรกที่เขาได้จับเอาไว้ในมือจริง
ๆอย่างแน่นอนเลยหละ !..
” ทาโร่ ” หยุดนิ่งคิดและให้มีความรู้สึกเหมือนกับว่าฝัน
และความหวังของเขานั้น เกือบจะสลายลงไปอยู่เหมือน กัน
แต่ความที่เขามีใจและมั่นใจ
เชื่อในความฝันของเขาและความเคารพนับถือในเจ้าแม่กวนอิมที่มีอยู่อย่างมากมาย
นั้น เขาแน่ใจว่าเจ้าแม่กวนอิมจะต้องไม่แกล้งหลอกเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงตกลงใจที่จะถือฟางเส้นนั้นเอาไว้ แล้วออกเดินไปเรื่อย ๆ
และในขณะที่เขากำลังเดินออกมาได้สักหน่อย ก็ได้มีแมลงหวี่
ตัวหนึ่งบินมากระพือปีก ร้อง ” ปุ ปุนน..หวี่ ๆๆ ”
บินส่งเสียงหนวกหูอย่างมากอยู่ที่รอบ ๆ ฟางเส้นนั้นของเขา ” ทาโร่ ”
จึงด้วยความรำคาญ จึงได้จับแมลงหวี่ตัวนั้น
แล้วเอามาผูกติดไว้ที่ฟางเส้นสำคัญเส้นนั้นของเขา
เสร็จแล้วจึงนำมาผูกติดไว้กับกิ่งไม้กิ่ง เล็ก ๆกิ่งหนึ่งอีกที
แล้วได้ถือเดินแกว่งไปแกว่งมา และออกเดินต่อไปอีก
เจ้าแมลงหวี่เมื่อโดนผูกเอาไว้อย่างนั้น จึงร้อง หวี่ ๆๆๆๆ
และกระพือปีกบินไปรอบ ๆไม้ที่ผูกไว้นั้นไม่ยอมหยุด “ทา โร่ ”
จึงเกิดความสนุกสนานขึ้นมา
จึงออกวิ่งถือไม้ติดแมลงหวี่นั้นไปอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แล้วในขณะนั้น
ก็พอดีกับได้เผอิญมีขบวนเดินทาง
ของขุนนางขบวนหนึ่งได้เดินทางผ่านมาทางนั้นเข้าพอดี
และในขบวนเดิน ทางนี้ ก็ได้มีภรรยาและบุตรชายของขุนนางผู้นั้น
ได้เดินทางมาพร้อมกับขบวนด้วย ลูกชายของขุนนางนั้นยังเล็ก อยู่
และคงจะด้วยเป็นเพราะว่าจำต้องเดินทางไกล ๆ จึงร้องให้กระจอจอแงมาตลอดทาง
และเมื่อเขาได้เหลือบ มาและได้เห็นไม้ติดแมลงหวี่ของ ทาโร่ เข้า
จึงยิ่งร้องไห้ขึ้นเป็นการใหญ่ แล้วร้องบอกกับข้าทาสบริวารด้วยเสียง
อันดังว่า ” เราจะเอาของเล่นนั่น..ฮื่อ ๆๆๆ ”
บริวารของขุนนางจึงบอกให้หยุดขบวนแล้วเดินมาขอร้องกับทาโร่
ขอไม้ติดแมลงหวี่อันนั้น ” พ่อหนุ่มน้อย บุตร
ของนายของเราอยากจะได้ของเล่นอันนี้ของท่าน ขอให้กับเขาเถิด ”
ทาโร่จึงยื่นให้อย่างว่าง่ายทันที บุตรของขุน
นางเมื่อได้ของเล่นที่ถูกใจจึงหยุดร้อง
และหันมาแกว่งไม้ติดแมลงหวี่อันนั้นเล่น
อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว ภรรยา
ของท่านขุนนางเมื่อเห็นลูกชายหยุดร้องไห้อย่างนั้นก็ให้เป็นดีใจอย่างมาก
จึงได้ยื่นผลส้มให้กับท่าโร่ สามผล ”
เราให้ส้มนี้เป็นการแลกเปลี่ยนกับของเล่นชิ้นนั้นของท่าน
ขอขอบคุณท่านอย่างมากเหลือเกิน”
ทาโร่เมื่อได้รับส้มสามผลเป็นการแลกเปลี่ยนมาได้
ก็เดินถือส้มสามผลนั้นต่อมาอีก ในใจก็ให้เป็นเกิดนึกทึ่งขึ้นมา อย่างมากว่า
” จะมหัศจรรย์อะไรอย่างนี้เป็นไม่มีอีกแล้ว ฟางไร้ค่าแค่เส้นเดียวนี่น่ะ
แลกเปลี่ยนเป็นส้มได้ตั้งสาม
ผลทีเดียว..นี่จะต้องเป็นขึ้นด้วยเพราะพรของเจ้าแม่กวนอิมอย่างแน่นอนเลย
” เขาคิด และเมื่อเขาเดิน ต่อมาได้อีกสักหน่อย เมื่อมาถึงตรงทางแยก
ที่เป็นทางที่จะเข้าหมู่บ้านพอดีนั้น เขาก็ได้แลเห็นว่าได้มีหญิงนักเดิน
ทางนางหนึ่ง กำลังนั่งหน้าซีดเหมือนกำลังเป็นลมอยู่ที่ข้างทาง
และได้มีผู้ชายคนหนึ่ง ที่คงจะเป็นผู้ที่เดินทางร่วม กันมากับหญิงนางนั้น
ได้เข้ามาถาม ทาโร่ว่า ” ข อ โ ท ษ ทีเถิด…พ่อหนุม แถว ๆที่ใกล้ ๆนี่
พอจะมีที่หาน้ำดื่มได้ บ้างไหม ? ละนี่ ”
ทาโร่จึงบอกกับผู้ชายคนนั้นไปว่า ”
จะมีก็ต้องเป็นที่ศาลเจ้าที่ไกลออกไปมากพอดูเหมือนกันแหละท่าน เอาอย่าง
นี้แล้วกัน ถ้าเป็นลมเพราะกระหายน้ำแล้วละก็ เอ้า..ส้มสามผลนี่ เราให้
เอาไปกินแก้กระหาย บางทีมันอาจจะ ช่วยได้หรอกท่าน ”
หญิงนางนั้นเมื่อรับส้มไปแล้ว
ก็แกะกินอย่างกระหายแล้วอาการของนางก็ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ
” ขอบคุณท่านมาก พ่อหนุ่ม เรารู้สึกดีขึ้นมาก
และสามารถที่จะเดินทางต่อไปได้แล้วหละ เราทั้งสองเป็นคนขาย ผ้าเดินทางมาไกล
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะท่าน เพื่อเป็นการตอบแทนความกรุณาของท่าน
เราขอมอบผ้า
ไหมสามม้วนนี้ให้เป็นการตอบแทนในน้ำใจของท่าน…ขอขอบคุณท่านอย่างมากเหลือเกิน
” ทาโร่ยิ่งเกิดความทึ่ง ในใจมากขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้เลยจริง ๆ ”
โอ้..ส้มแค่สามผลนี่กลับกลายมาเป็นผ้าไหมราคาแพงได้ตั้งสามม้วน แน๊ะ
โอ้ย…ช่างเหลือเชื่อเสียจริงๆ ”
ทาโร่ด้วยความดีใจ
จึงเดินแบกผ้าไหมทั้งสามม้วนนั้นเดินต่อมาอีก…เขาเกิดนึกสนุกขึ้นมาและ
พลางนึกคิดไปด้วยอีกว่า แล้วคอยดูสิ ว่าเจ้าผ้าไหมทั้งสามม้วนนี้
มันจะเนรมิตและกลับกลายเป็นอะไรขึ้นมาได้อีก แล้วพอเขาเดินมาได้อีกสักหน่อย
ก็ได้แลเห็นว่าได้มี ซามูไร ผู้หนึ่งกำลังขี่ม้าที่กำลังพยศอย่างมาก
วิ่งโร่ตรง
เข้ามาทางเขาอย่างกระทันทัน…เจ้าม้าตัวนั้นวิ่งควบไปข้างหน้าไม่ยอมหยุด
และติดตามมาด้วยทหารซึ่งเป็น ข้าทาสสองคน ที่กำลังวิ่งตามมาติด
ๆเพื่อที่จะช่วยกันดึงและจับม้าพยศตัวนั้นให้หยุดลงให้ได้ อย่างโกลาหลไป
หมดเลยทีเดียว แต่เจ้าม้าตัวนั้นเมื่อมันวิ่งมาตรงใกล้ๆกับที่ทาโร่
ยืนหลบดูอยู่ แล้วอยู่ดี ๆมันก็หยุดลง เองอย่างกระทันหัน
และล้มลงไปนอนนิ่งอยู่ที่พื้นดินนอนนิ่งไม่ไหวติงเลยทีเดียว…
ท่านซามูไรเมื่อพอท่านลงจากหลังม้าได้เท่านั้น
ก็โมโหฉุนเฉียวอย่างมากเลยทีเดียว และได้หันมาสั่งให้ข้า
ทาสที่ตามมาทั้งสองคน ให้เอาม้าไปจัดการ ฆ่ า ทิ้งเสีย แล้วเดินจากไป
จากที่ตรงนั้นไปโดยไม่หันกลับมามองดูม้า
อีกเลยแม้แต่สักน้อยนิด…ข้าทาสทั้งสองของท่าน ” ซามูไร”
เมื่อได้รับคำสั่งอย่างกระทันหันอย่างนั้นเข้า ก็ให้เป็น
กลุ้มใจกันอย่างหนัก ด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับม้าดี
ทำอะไรกันไม่ถูกเลยทีเดียว… ทั้งสองจึงได้
แต่เพียงหันหน้ามายืนปรึกษาหารือกันไปพลาง ๆว่าจะทำยังไงกันดี
อยู่ตรงที่ข้าง ๆม้าตัวที่นอนสลบไสลอยู่ตัวนั้น
ทาโร่เมื่อเห็นดังนั้น…จึงเดินเข้าไปบอกกับข้าทาสของท่าน ซามูไร
ทั้งสองว่า ” ท่าน ๆ จะ ฆ่ า มันเหรอ น่าสงสารออก เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่าน
ซามูไร ก็ไม่อยู่และไม่เห็นอะไรอีกแล้วด้วย เราจะจัดการกับม้าตัวนี้เอง
เอ้า…ผ้านี่ หนึ่งม้วน เราให้ รับไปเถอะท่าน
คิดเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนแล้วกัน เราให้…
แล้วเราจะเป็นคนจัดการกับม้าตัวนี้เอง ” ข้าทาสทั้งสองจึงรับม้วนผ้า
ที่ทาโร่ออกปากให้ ด้วยความดีใจ
และจากไปจากที่นั้นทันที…เมื่อข้าทาสจากไปแล้ว
ทาโร่จึงเข้าไปยืนพินิจพิจารณาดูม้า ตัวนั้นอยู่พักหนึ่ง
และเขาก็เห็นว่ามันยังหายใจอยู่ และไม้ได้ ต า ย ไป อย่างที่ ทุก ๆคนคิด
ทาโร่จึงเดินไปตักน้ำมาให้มันกิน
ม้าตัวนั้นด้วยมันคงจะกระหายน้ำและหิวมันจึงพยศเอาอย่างนั้น
เมื่อได้กินน้ำที่ทาโร่ไปตักมาให้ดื่มกินเข้าไปแล้ว
มันจึงเริ่มแข็งแรงขึ้นและฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ” โอ้ นึกว่าจะต้อง ต า ย
ไปเสียแล้วนะ เนี่ย เจ้าม้าเอ๋ย..รอด ต า ย แล้วละ มาไปกับข้า ”
และด้วยการเป็นอย่างนี้นี่เอง
ทาโร่จึงได้ม้ามาเป็นเจ้าของอย่าง
โชคดีที่สุดเลยหละ..แล้วยังแถม…ผ้าไหมที่มีอยู่สามม้วนนั้นก็ยังคงมีเหลืออยู่อีกตั้งสองม้วนอีกเสียด้วย
อย่างนี้
แล้วจะไม่ให้เขาคิดว่ามันเป็นความโชคดีอย่างเหลือเกิน…ก็ไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรกันแล้วหละน้า…
ทาโร่คิดและได้ เดินจูงม้า ออกเดินทางของเขาต่อไปอีก…
” พรของเจ้าแม่กวนอิมนี่ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง ๆเลย ฮ่า ๆๆๆ
จากฟางเส้นเล็ก ๆ
แค่เส้นเดียว….กลับกลายมาเป็นม้ากับผ้าไหมที่มีค่าราคาแพงได้…เหลือเชื่อ…เหลือเชื่อเสียจริง
ๆ เล้ย…” ทาโร่เดินคิดและนึกขอบคุณเจ้า แม่กวนอิมอยู่ในใจมาตลอดทาง
ด้วยความทึ่งใจเป็นอย่างที่สุด…แล้วก็พอดีเวลากลางคืนนั้นก็มาถึง…
ทาโร่ได้ไป
ที่บ้านของชาวนาหลังหนึ่งที่เขาได้มองเห็นอยู่ในขณะที่เดินทางนั้น
แล้วเข้าไปบอกขอร้องกับเจ้าของบ้านหลังนั้น ว่า ” ข้ามีผ้าไหมอยู่สองม้วน
จะขอแลกเปลี่ยนกับอาหารให้กับม้ากินแก้หิวสักนิดได้ไหมท่าน ”
ชาวนาเจ้าของบ้านเมื่อเห็นผ้าไหมที่มีค่าราคาแพงอย่างนั้นเข้า
ก็ให้เป็นดีใจอย่างมาก แบ่งหญ้าให้ม้ากินเป็น
อาหารแล้วยังไม่พอ…ยังแถมเลี้ยงอาหารอันเลิศรสให้กับทาโร่อีก
แล้วบอกให้เขาค้างคืนที่นั่นเสียเลย เพราะ เวลานั้นก็เป็นเวลาที่มืดค่ำแล้ว
เมื่อเป็นดังนั้นทาโร่ จึงโชคดีได้ค้างคืนเสียที่บ้านของชาวนาผู้มีน้ำใจ
ผู้นั้น รุ่งเช้าเมื่อเขากล่าวคำขอบคุณชาวนาผู้ใจดีทั้งสองเสร็จแล้ว
ก็ได้กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วออกเดินทาง ของเขาต่อไป
เมื่อเดินทางต่อมาได้อีกหน่อย
เขาก็ได้แลเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่เข้าหลังหนึ่ง ที่ตรงหน้าคฤหาสน์นั้น
พวกข้าทาสบริพารได้กำลังทำการขนย้ายข้าวของกันให้เป็นการใหญ่
ทุกคนช่วยกันแบกและขนข้าวของกัน อย่างหน้าดำคร่ำเครียดเลยทีเดียว ”
ท่าทางคงจะแย่นะเนี่ย…
นี่ถ้าได้ม้าสักตัวคอยช่วยขนของที่หนัก ๆให้ ก็น่าจะดี
จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระได้อย่างมากเลยทีเดียว” ทาโร่จึงได้ขี่ม้าเข้าไปใกล้ ๆ
แล้วลองร้องเรียก ถามผู้คนเหล่านั้นว่า จะต้องการใช้ม้าหรือปล่าวหรือยังไง
?
สักครู่หนึ่งเจ้าของคฤหาสน์ก็ได้เดินออกมาจากทางด้านใน
เมื่อชายคนนั้นเห็นม้าของทาโร่เข้าก็พูดว่า ”
ม้าของท่านนี่เป็นม้าที่มีท่าทางและลักษณะที่สง่างามมากเลยทีเดียว
อยากจะขอให้ขายให้กับเราเสีย ได้ไหมล่ะท่าน เราจะได้ใช้ขี่ไปในตอนเดินทาง
แต่ตอนนี้เราไม่มีเงินหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน เอามาแลก
กับที่นาของเราได้ไหมล่ะท่าน !
” ทาโร่เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงได้ตอบกลับไปอย่างดีใจว่า ”
เงินนั้นถ้าจะใช้เดี๋ยว เดียวก็หมด แต่ว่าถ้าเป็นที่นาแล้วละก็
ขยันขันแข็งเข้าสักหน่อย ได้ปลูกข้าวและพืชพันธุ์ธัญญาหาญได้มี
ใช้มีกินไปตลอดเลยทีเดียว ถ้าท่านจะกรุณาแลกด้วยสิ่งนั้น
เราก็ตกลงใจและยินดีที่จะแลกเปลี่ยนอย่าง เหลือเกินเลยท่าน”
เมื่อได้ฟังท่าโร่ว่าอย่างนั้นเจ้าของคฤหาสน์ก็ให้เป็นนึกชมเชยในความคิดของทาโร่เป็นอย่างมาก
”
ท่านช่างเป็นคนหนุ่มที่มีความคิดที่หลักแหลมและรอบครอบน่านับถืออย่างเหลือเกิน
แล้วยังมี อีกอย่างที่เราอยากจะไหว้วานท่านเสียเลย
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะพ่อหนุ่ม เราอยากจะขอให้
ท่านดูแลคฤหาสน์ให้กับเราระหว่างที่เราไม่อยู่นี้ด้วย
คือเราจะต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างเมืองซึ่งใกล
มากและคงจะเป็นเวลานานกว่าที่จะกลับมา ถ้าเป็นท่านเราคงจะหมดห่วง
จะได้ไหมท่าน ” ทาโร่ให้ แสนที่จะดีใจเป็นอย่างมาก
เพราะได้ที่นาเป็นของตัวเองแล้วยังไม่พอ
ยังโชคดีได้มีที่อยู่ที่อาศัยพ่วงเข้า มาอีกเสียด้วย
เจ้าของคฤหาสน์ได้ออกเดินทางอันยาวนานโดยได้ใช้ม้าของทาโร่ขับขี่ของเขาไปแล้ว…ส่วนทาโร่นั้นก็หัน
หน้ามาตั้งหน้าตั้งตาทำไร่ทำนาของเขาแต่เร็ววัน
เขาได้ลากไถพรวนดินในที่นาที่เขาได้รับมาเป็นเจ้าของ
อย่างบังเอิญนั้นอย่างขยันขันแข็ง
และเมื่อฤดูใบไม้ผลิได้เข้ามาเยือนในที่นาของเขานั้น ก็เต็มสพั่งไปด้วย
รวงข้าวสีทองให้เห็นเหลืองอร่ามจนเต็มท้องนาไปหมด
ปีนั้นทาโร่จึงได่เก็บเกี่ยวข้าวได้อย่างมากมายเลยทีเดียว
และในไม่นานต่อมาจากนั้น ทาโร่ก็ได้ร่ำรวยขึ้นมาอย่างทันตาเห็น ”
เป็นเศรษฐีขึ้นมาได้จากฟาง แค่เส้นเดียวแท้ ๆ ” ของเขานี้
ได้ถูกเล่าลือไปจนทั่วทุกหนทุกแห่ง ทุก
ๆคนจึงหันมาตั้งฉายาและเรียกเขาใหม่ว่า ” ท่านเศรษฐีฟางเส้นเดียว ”
กันเสียทุกคนไปนั่นแหละ และด้วยถึงแม้ว่าจะรวยขึ้นมาสักเท่าไหร่
แต่ทาโร่
นั้นก็ยังคงเป็นผู้ที่ขยันขันแข็งของเขาอยู่อย่างเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นพวกเศรษฐี ในที่ต่าง ๆจึงอยากที่ จะได้เขามาเป็นลูกเขยกันทุกคน
มีเศรษฐีหลายคนมาเสนอลูกสาวให้แต่งงานกับเขาอยู่ตลอดเวลาเลยเดียว
แต่ว่าทาโร่นั้นได้มีหญิงสาวนางหนึ่งที่เขาหมายปองเอาไว้
ตั้งแต่เมื่อตอนที่เขาได้อาศัยอยู่ที่บ้านเกิดของเขา
อยู่นั่นเองจึงได้ตอบปฏิเสธพวกลูกสาวเศรษฐีทุกคนไป
และในไม่นานหลังจากนั้นทาโร่ก็ได้ไปสู่ของหญิงสาว
นางนั้นมาเป็นเจ้าสาวของเขาได้สมใจปรารถนาในที่สุด ” ฮานา ”
คือหญิงสาวนางนั้นและเป็นคนที่ขยัน ขันแข็งไม่ย่อท้อต่อการงานเป็นอย่างมาก
ทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันมาอย่างมีความสุขและให้กำเนิดลูกน้อย
หลายคนในกาลต่อมา ส่วน เจ้าของคฤหาสน์ที่ทาโร่ได้ใช้อาศัยอยู่นั้น
ก็ไม่มีท่าทางว่าจะกลับมาเลยสักที ทาโร่กับฮานา
จึงอาศัยอยู่กันที่คฤหาสน์หลังนั้นต่อมาอย่างมีความสุข
” ทาโร่ ” กับ ” ฮานา ” นั้นมักจะพาพวกลูก ๆ
ของเขากลับไปทำความเคารพเจ้าแม่กวนอิมที่ศาลอยู่เสมอ ๆ มิได้ขาด
เพราะเจ้าแม่แท้ ๆที่บรรดาลให้เขามีความสุขขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ จาก ”
ฟางที่ไร้ค่าเพียงแค่เส้น เดียวจริง ๆ ”
ขอขอบคุณที่มา จาก bloggang