ดองสะเดาเอาไว้กินเอง เก็บไว้กินได้ตลอดทั้งปี

ผักสะเดา เป็นพืชผักสมุนไพรโบราณที่ออกตามในฤดูกาล ปีนึงจะออกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และยังเป็นผักที่หลายๆบ้านนิยมทานกัน ซึ่งในวันนี้เรามีวิธีในการถนอมอาหาร เพื่อที่จะให้คุณเก็บผักสะเดาเอาไว้กินได้ตลอดทั้งปี และวิธีการก็ง่ายๆขั้นตอนไม่ยุ่งยาก คุณสามารถทำเองได้ เรามาดูกันเลยว่าจะต้องเตรียมอะไรและมีขั้นตอนในการทำอย่างไร

สิ่งที่ต้องเตรียม

1 สะเดา 5 กก.

2 เกลือ 1.5 กก.

3 ขวดน้ำหรือถังที่มีฝาปิดมิดชิด

ขั้นตอนในการทำ

1 ในขั้นแรกให้เราเริ่มด้วยการเตรียมสะเดาสดใส่ลงไปในถังหมัก แนะนำให้เป็นถังใหญ่หน่อย จากนั้นให้เราเทเกลือตามลงไปโรยไว้บริเวณด้านบน

2 ให้เรานำขวดพลาสติกใส่น้ำเต็มขวดปิดฝาให้แน่น แล้ววางทับผักสะเดาของเราเอาไว้ให้เต็มถัง เพื่อป้องกันไม่ให้ผักสะเดาของเราลอยขึ้นมาในระหว่างที่เราทำการดอง

3 ขั้นตอนถัดมาให้เราทำการใส่น้ำสะอาดลงไปให้ท่วมสะเดา ปิดฝาถังให้มิดชิดให้เราดองทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือน เมื่อครบเวลาเราก็สามารถนำผักสะเดามารับประทานประกอบเมนูอาหารที่ชื่นชอบ หรือสามารถเก็บเอาไว้ได้นานข้ามปีเลยทีเดียว

ประโยชน์ของผักสะเดา

ชะล้างสิ่งตกค้างในร่างกาย

ใบสะเดาเมื่อนำมาต้มในน้ำร้อน ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง ก็จะช่วยให้โลหิตในร่างกายของเราสะอาด ระตุ้นให้โลหิตมีการไหลเวียนดีขึ้น

บำรุงธาตุ บำรุงน้ำดี ช่วยย่อยอาหาร

ใบสะเดา สามารถนำมาทำเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยได้ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำดี เพิ่มปริมาณน้ำดี ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งน้ำดีที่ถูกกระตุ้นสร้างออกมานั้นจะช่วยย่อยอาหารประเภท­­­ไขมันได้ดีขึ้นด้วย

บำรุงสุขภาพช่องปาก

สะเดาเป็นพืชที่มีคุณสมบัติบำรุงเหงือกและฟัน จึงนิยมนำมาสกัดเป็นส่วนผสมในยาสีฟันทั่วไป ช่วยทำให้สุขภาพในช่องปากของเรา สะอาด สดชื่น

ช่วยให้เจริญอาหาร

การที่สะเดาช่วยเพิ่มปริมาณน้ำดีทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น จะทำให้เราเจริญอาหารตามไปด้วย นอกจากนี้ ความขมของสะเดาก็ยังช่วยให้เจริญอาหารด้วยเช่นกัน

ป้ อง กันเบ าห ว าน

สะเดามีรสขมสามารถรักษาโ ร คเบ าห วานได้ โดยจะลดการผลิตอิน ซู ลิ นได้กว่าร้อยละ 50 และยังช่วยปรับสมดุลความอยา กอาหารได้ด้วย

บำ รุ งหั วใ จ

ตามตำราแพทย์พื้นบ้านระบุว่า ผลของต้นสะเดา หากนำมาต้ม ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดโลหิต ปรับสมดุลจังหวะการเต้นของหั วใ จให้เป็นปกติ หั วใ จจึงแข็งแรงขึ้น

ขอบคุณข้อมูล : kaijeaw , health.kapook