Home »
Uncategories »
ให้ลูกเข้าโรงเรียนดี มีชื่อเสียง ไม่สำคัญเท่า การมีพ่อเเม่ที่ดี
ให้ลูกเข้าโรงเรียนดี มีชื่อเสียง ไม่สำคัญเท่า การมีพ่อเเม่ที่ดี
ให้ลูกเข้าโรงเรียนดี มีชื่อเสียง ไม่สำคัญเท่า การมีพ่อเเม่ที่ดี
บทความนี้อยากให้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คนได้มาอ่านลองดู
เพราะว่าบางครอบครัวที่มีลูกนั้นมีเวลาให้ลูกน้อยเกินไป
บ้างก็ส่งให้แต่ลูกไปเรียนอย่างเดียว
นอกจากเรียนในภาคปกติแล้วก็ยังจะไปเน้นเรื่องเรียนพิเศษอีก
จนเด็กบางคนก็ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะเล่นอย่างเหมาะสมกับวัยตัวเอง
โรงเรียนนั้นเหมาะจะสอนวิชาก็จริงแต่วิชาบางอย่างโรงเรียนก็ไม่มีสอนเหมือนกัน
ยังไงก็ลองสละเวลาสักน้อยนิดเพื่ออ่านสักหน่อย
เพื่ออนาคตของลูกของคุณเอง อย่ารักลูกโดยไม่ถูกทาง
ลองอ่านสักนิดแล้วจะเข้าใจความเป็นเด็กมากขึ้นอีกนิด
เราต่างก็รักลูกเหมือนกัน อยากจะเห็นลูกได้ดี
มีอนาคตไกลแต่การรักมากเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อตัวเด็กได้ว่าไหม
เชื่อว่าพ่อแม่หลายต่อหลายคน
เป็นกังวลไม่น้อยเรื่องการพยายามสรรหาโรงเรียนที่ดีให้กับลูกๆ ของตัวเอง
พ่อแม่หลายคนพยายามให้ลูกได้เข้าโรงเรียนอินเตอร์ที่มีชื่อเสียง
ซึ่งมีค่าเล่าเรียนราคาแสนแพง เนื่องจากคัดสรรครู ที่มีคุณภาพชั้นดี หรือ
มีอุปกรณ์การเรียนการสอนครบครัน หรือไม่ก็พยายามให้ลูก
กวดวิชาเพื่อสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนชื่อดัง เป็นโรงเรียนเก่าแก่
ที่มีอัตราการแข่งขันสูง รับเด็กได้จำนวนจำกัด เพราะคิดว่า
นี่คือการรับประกันความสำเร็จในอนาคตของลูก
แต่จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยทำการทดสอบกับเด็กวัยรุ่น 10,000 กว่าคน
จากโรงเรียนประมาณพันแห่งในรัฐต่างๆ พบว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุด
ที่ทำให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนนั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของโรงเรียน
แต่กลับเป็นความเอาใจใส่ดูแลของพ่อแม่ผู้ปกครองมากกว่า
นักวิจัยพบว่า เด็กนักเรียนวัย 18
ปี ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนธรรมดา ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานเท่าที่ควร
แต่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความเอาใจใส่ดูแลในด้านการเรียนของลูกจะทำคะแนนสอบได้ดีกว่า
เด็กนักเรียนที่เรียนโรงเรียนดี สภาพแวดล้อมดี
แต่พ่อแม่ไม่ได้ใส่ใจในด้านการเรียนของลูก
ความใส่ใจของพ่อแม่นั้น นักวิจัยกลุ่มนี้
วัดจากระดับคะแนนความสัมพันธ์ว่า
พ่อแม่ผู้ปกครองเชื่อมั่นในลูกของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
พ่อแม่ช่วยตรวจทานเวลาลูกทำการบ้าน ให้กำลังใจ
มีการพูดคุยเรื่องกิจกรรมของลูกที่โรงเรียนบ้างไหม
และพ่อแม่เข้าไปร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน
การที่พ่อแม่มีเวลา เอาใจใส่ พูดคุยเรื่องการเรียนกับลูกอย่างสม่ำเสมอ
ยังเป็นการสื่อสัญญาณให้ลูกรับรู้ว่า การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา
โดยปัจจัยต่อการเรียนรู้จากพ่อแม่นี้ จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อลูกยังอยู่ในระดับประถมศึกษา
ในส่วนของคุณภาพของโรงเรียนนั้น นักวิจัยวัดระดับจาก
คะแนนที่พ่อแม่ให้กับคุณครู มาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียน
โอกาสของนักเรียนในการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนและกิจกรรมกีฬา
การสื่อสารระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง และ
โรงเรียนไม่มีปัญหาเรื่องเด็กเกเร เป็นต้น นักวิจัยกลุ่มนี้
ทำการติดตามผลการเรียนของเด็กแต่ละคนเป็นระยะยาว
โดยวัดคะแนนสอบในสี่วิชา คือ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ(การอ่าน) วิทยาศาสตร์
และ ประวัติศาสตร์ พวกเขาพบว่า ปัจจัยจากโรงเรียนและปัจจัยจากพ่อแม่
ล้วนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการเรียนของเด็ก แต่เห็นได้ชัดว่า
การมีส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครองนั้น สำคัญกว่า และ
นำไปสู่การประสบความสำเร็จในการเรียนได้มากกว่า ชื่อเสียงของโรงเรียน
“การวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่า
พ่อแม่ควรตระหนักในความสำคัญของตัวเองให้มากขึ้นว่า
พ่อแม่สามารถช่วยให้ผลการเรียนของลูกดีขึ้นได้
และควรเอาใจใส่ให้เวลากับลูกๆ ด้วยการหมั่นตรวจสอบการบ้านของลูก
เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน
และให้ความสนใจพูดคุยกับลูกเรื่องการเรียนอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ
ให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ มากกว่า
การลงทุนลงแรงในการพยายามให้ลูกได้เข้าโรงเรียนชั้นดี”
สำหรับพ่อแม่บางคนก็เข้าใจว่าอยากจะให้ลูกได้ดีมีหน้ามีตา มีฐานะ
เรียนเก่ง แต่อย่าลืมว่าเด็กแต่ละคนมีความฝันของตนเอง
อย่าเอาลูกของตนเองไปเปรียบเทียบกับใคร
เพราะบางทีการแข่งขันมันก็ใช้ไม่ได้กับเด็กทุกคนในการใช้ในการผลักดันเพื่อให้เก่ง
เพราะเด็กบางคนเมื่อถูกเปรียบเทียบอาจจะรู้สึกแย่ขึ้นมาก็ได้
หาเวลาอยู่กับลูก คุยกันบ้าง ทานข้าวกัน เล่นกัน คุยกันตรง ๆ
เปิดใจแบบอบอุ่น บางอย่างโรงเรียนก็ไม่ได้มอบให้พวกเขานะ ลองคิดดูดี ๆ
ว่าอยากเห็นลูกมีความสุขในแบบของเขา หรือในแบบที่คุณคิด และอย่าลืมว่า 2
อย่างนี้มันไม่ได้ตรงกันเสมอไปนะ