"การให้อภัย" กับ "การให้โอกาส" เป็นคนละส่วนกัน
การให้อภัย คือ การยกโทษทางจิตใจในสิ่งผิดที่เขาทำต่อเรา
การให้อภัยมีสองระดับครับ
ระดับแรก
ให้อภัยเมื่อรู้สึกว่าเขารับผิดและแก้ไขอย่างดีแล้ว เมื่อคนคนหนึ่งทำไม่ดีกับเรา และเขาได้รับโทษของความผิดนั้น และเขาพยายามชดใช้ต่อสิ่งนั้น
เขาขอโทษ
เขาแก้ไข
เขาชดใช้
เขาเสียใจ
ทำให้ความรู้สึกของความโกรธแค้นของเราบรรเทา เรารู้สึกว่าเราให้อภัยเขาได้ เราจึงให้อภัย
ระดับที่สอง
ให้อภัยโดยไม่ขึ้นกับว่าคนที่ทำผิดนั้นจะเป็นอย่างไร จะเสียใจ จะชดใช้ จะรับโทษหรือเปล่า แต่เราก็ให้อภัยเขาได้ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนต้องใช้เวลาและการตัดสินใจด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่างที่สองยากกว่า บางครั้งเราไม่ให้อภัยบางคนเพราะคิดว่าเราทำไม่ได้ มันยากเกินไป มันหนักหนาเกินไปหรือไม่เราก็รู้สึกว่า เราไม่อยากให้อภัย เราจะเก็บความโกรธแค้นนี้ไว้เพราะเขาไม่สมควรได้รับการให้อภัย
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเรากลับไม่รู้ตัวว่าจิตใจที่โกรธแค้นนั้นมาพร้อมกับการกัดกินหัวใจและมันทำร้ายเราเสมอ ไม่เคยทำร้ายคนที่ทำผิดกับเราเลยมันคือยาพิษที่เราดื่มเข้าไปทุกวัน และตั้งจิตปณิธานว่าทุกครั้งที่เราดื่มยาพิษนั้น จะทำให้คนที่เราโกรธแค้นนั้นตาย..ซึ่งมันไม่ใช่
การให้อภัย ไม่ได้ทำให้เขาพ้นผิดครับ
แต่ทำให้เราพ้นจากจิตใจที่เคียดแค้นและเจ็บปวดต่างหาก
มันแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่มันปลดปล่อยเราจากที่คุมขังจองจำ
ไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า คนที่ทำได้คือคนที่ชนะไม่ใช่พ่ายแพ้
จริงๆ แล้วการให้อภัยกับการให้โอกาส เป็นคนละส่วนกันครับ
เราให้อภัยแต่ไม่ให้โอกาสได้
เพราะการให้อภัยคือการยกโทษทางจิตใจ ที่ปลดปล่อยตัวเราจากการถูกทำร้ายทางใจ แต่การให้โอกาสต้องมาพร้อมกับการพิสูจน์ตัวเองของคนทำผิด ถ้าคนทำผิดไม่ได้กลับใจ ไม่ได้เสียใจ เราไม่จำเป็นต้องให้โอกาสเสมอไป และบางครั้งเขายังต้องรับโทษจากความผิดนั้น
แต่ส่วนของเรานั้นแค่เดินออกมา แล้วยกโทษให้เขา
ออกจากที่คุมขังแห่งความแค้นใจ
เอาชีวิตของเรากลับคืนมาใหม่เป็นของเรา
และเอาไปใช้ให้มีความสุขกับการเริ่มต้นใหม่ดีกว่า
“การให้อภัย…ทำให้เราได้ชีวิตของเรากลับมา”
ขอขอบพระคุณที่มา: บอร์นเก้าสาม
การให้อภัย คือ การยกโทษทางจิตใจในสิ่งผิดที่เขาทำต่อเรา
การให้อภัยมีสองระดับครับ
ระดับแรก
ให้อภัยเมื่อรู้สึกว่าเขารับผิดและแก้ไขอย่างดีแล้ว เมื่อคนคนหนึ่งทำไม่ดีกับเรา และเขาได้รับโทษของความผิดนั้น และเขาพยายามชดใช้ต่อสิ่งนั้น
เขาขอโทษ
เขาแก้ไข
เขาชดใช้
เขาเสียใจ
ทำให้ความรู้สึกของความโกรธแค้นของเราบรรเทา เรารู้สึกว่าเราให้อภัยเขาได้ เราจึงให้อภัย
ระดับที่สอง
ให้อภัยโดยไม่ขึ้นกับว่าคนที่ทำผิดนั้นจะเป็นอย่างไร จะเสียใจ จะชดใช้ จะรับโทษหรือเปล่า แต่เราก็ให้อภัยเขาได้ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนต้องใช้เวลาและการตัดสินใจด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่างที่สองยากกว่า บางครั้งเราไม่ให้อภัยบางคนเพราะคิดว่าเราทำไม่ได้ มันยากเกินไป มันหนักหนาเกินไปหรือไม่เราก็รู้สึกว่า เราไม่อยากให้อภัย เราจะเก็บความโกรธแค้นนี้ไว้เพราะเขาไม่สมควรได้รับการให้อภัย
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเรากลับไม่รู้ตัวว่าจิตใจที่โกรธแค้นนั้นมาพร้อมกับการกัดกินหัวใจและมันทำร้ายเราเสมอ ไม่เคยทำร้ายคนที่ทำผิดกับเราเลยมันคือยาพิษที่เราดื่มเข้าไปทุกวัน และตั้งจิตปณิธานว่าทุกครั้งที่เราดื่มยาพิษนั้น จะทำให้คนที่เราโกรธแค้นนั้นตาย..ซึ่งมันไม่ใช่
การให้อภัย ไม่ได้ทำให้เขาพ้นผิดครับ
แต่ทำให้เราพ้นจากจิตใจที่เคียดแค้นและเจ็บปวดต่างหาก
มันแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่มันปลดปล่อยเราจากที่คุมขังจองจำ
ไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า คนที่ทำได้คือคนที่ชนะไม่ใช่พ่ายแพ้
จริงๆ แล้วการให้อภัยกับการให้โอกาส เป็นคนละส่วนกันครับ
เราให้อภัยแต่ไม่ให้โอกาสได้
เพราะการให้อภัยคือการยกโทษทางจิตใจ ที่ปลดปล่อยตัวเราจากการถูกทำร้ายทางใจ แต่การให้โอกาสต้องมาพร้อมกับการพิสูจน์ตัวเองของคนทำผิด ถ้าคนทำผิดไม่ได้กลับใจ ไม่ได้เสียใจ เราไม่จำเป็นต้องให้โอกาสเสมอไป และบางครั้งเขายังต้องรับโทษจากความผิดนั้น
แต่ส่วนของเรานั้นแค่เดินออกมา แล้วยกโทษให้เขา
ออกจากที่คุมขังแห่งความแค้นใจ
เอาชีวิตของเรากลับคืนมาใหม่เป็นของเรา
และเอาไปใช้ให้มีความสุขกับการเริ่มต้นใหม่ดีกว่า
“การให้อภัย…ทำให้เราได้ชีวิตของเรากลับมา”
ขอขอบพระคุณที่มา: บอร์นเก้าสาม