ไอเดียสุดเจ๋ง!! ใช้พื้นที่ว่างสนามกอล์ฟ ปลูก“แอปเปิ้ลเมล่อน” 65 วันเก็บเกี่ยวได้!!

ไร่ดราก้อน ฟาร์ม ตั้งอยู่ภายในสนามกอล์ฟดราก้อนฮิลล์ บริหารงานโดย คุณธีรเกียรติ ทะแพงพันธ์ อายุ 43 ปี อาศัยอยู่ บ้านเลขที่ 92 หมู่ที่ 6 ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี โทร. (086) 318-9189

คุณธีรเกียรติ กล่าวว่า ปัจจุบัน ดราก้อนฮิลล์ ประกอบธุรกิจสนามกอล์ฟเป็นรายได้หลักแแล้ว ยังเหลือที่ดินว่างเปล่าอีกจำนวนหนึ่ง จึงนำมาปลูกพืชเศรษฐกิจหลายชนิด สลับกันตามฤดูกาลและความต้องการของตลาด เช่น คะน้าฮ่องกง ไผ่กิมซุง เมล่อน แคนตาลูป ปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียส่งขายโรงงาน ฯลฯ

คุณธีรเกียรติ เริ่มสนใจปลูกเมล่อน ตั้งแต่เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ปลูกมาหลายสายพันธุ์ จนกระทั่งตัดสินใจปลูกแอปเปิ้ลเมล่อนเป็นไม้ผลหลักในขณะนี้ เพราะเล็งเห็นช่องทางการตลาดว่า มีผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งไม่นิยมบริโภคเมล่อนผลใหญ่ แต่ต้องการเมล่อนผลเล็กสำหรับใช้ไหว้พระ ไหว้เจ้า จึงตัดสินใจเลือกปลูกแอปเปิ้ลเมล่อน ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเฉลี่ยลูกละ 400-500 กรัม หรือประมาณ 2-3 ผล ต่อกิโลกรัม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มนี้

ปัจจุบัน แอปเปิ้ลเมล่อน เป็นไม้ผลเศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าจับตามอง เพราะเป็นผลไม้ที่มากคุณประโยชน์ เป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ แถมแอปเปิ้ลเมล่อนยังมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวคือ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีความหวานในระดับ 12-14 บริกซ์ เนื้อมีสีเขียวอมขาว รสชาติหวาน กรอบ ที่สำคัญใช้ระยะเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวสั้น ไม่เกิน 65 วัน หลังหยอดเมล็ด ให้ผลตอบแทนที่ดี คุ้มค่ากับการลงทุนและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ทุกวันนี้ ไร่ดราก้อน ฟาร์ม เป็นแหล่งปลูกแอปเปิ้ลเมล่อนเชิงการค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ที่นี่ปลูกแอปเปิ้ลเมล่อนแบบผสมผสาน บนเนื้อที่ 30 ไร่ โดยปลูกแอปเปิ้ลเมล่อนใน 2 รูปแบบ คือ

1. ปลูกในระบบโรงเรือน โดยทำค้างเพื่อให้ผลแอปเปิ้ลเมล่อนห้อยลงมา ทำให้มีผิวสวยได้ขนาด ไม่มีตำหนิ และยังเป็นการป้องกันแมลง ป้องกันฝน

2. ปลูกนอกโรงเรือน การปลูกระบบเปิดกลางแจ้ง ทำให้มีต้นทุนต่ำ แต่มีจุดอ่อนคือ ผลแอปเปิ้ลเมล่อนอยู่ติดดิน เสี่ยงทำให้ผิวผลผลิตไม่ค่อยสวยเหมือนกับการปลูกในโรงเรือน คุณธีรเกียรติ วางแผนการผลิตเป็นหลายรุ่น รุ่นละ 2-3 ไร่ ทยอยปลูก ห่างกันประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดตลอดทั้งปีAdvertisement

การปลูกดูแล

เมล็ดพันธุ์ เป็นหนึ่งในปัจจัยการผลิตที่สำคัญมาก ที่นี่เลือกใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้ เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่ปลอดเชื้อโรค สามารถนำมาเพาะขยายพันธุ์ได้ทันที ปัจจุบัน คุณธีรเกียรติ เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์แอปเปิ้ลเมล่อนจากบริษัท เพื่อนเกษตรกร จำกัด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีต้นทุนการผลิต ประมาณ 1 บาทกว่าต่อเมล็ด

ขั้นตอนการเพาะเมล็ด เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความสำเร็จ หากดูแลจัดการไม่ดีพอก็เสี่ยงกับการสูญเสียผลผลิตทั้งหมดได้ คุณธีรเกียรติ เลือกเพาะเมล็ดภายในโรงเรือนปลอดเชื้อ หลังจากนำเมล็ดออกจากถุง จะผสมน้ำให้ชุ่มก่อนนำมาหยอดใส่ถาดเพาะเมล็ด โดยใช้วัสดุเพาะกล้าที่ให้ผลดีที่สุดคือ พีทมอสส์ ทำให้เมล็ดพันธุ์มีอัตราการงอกถึง 95 เปอร์เซ็นต์

สำหรับแปลงปลูกกลางแจ้ง ก่อนลงมือปลูก จะปรับพื้นที่ในลักษณะแปลงยกร่อง รองพื้นดินในหลุมด้วยปุ๋ยคอกก่อน ใช้ผ้าพลาสติกคลุมแปลงปลูก และวางแผนให้ปุ๋ยในระบบน้ำหยด เมื่อต้นกล้าที่เพาะไว้เติบโตได้ขนาดที่ต้องการ ก็จะย้ายต้นกล้ามาปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ โดยขุดหลุมลึก 6-7 เซนติเมตร ปลูกในระยะห่างระหว่างต้น ประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการดูแลจัดการแปลง

สำหรับพื้นที่ 3.5 ไร่ จะปลูกแอปเปิ้ลเมล่อนได้ประมาณ 6,000 กว่าต้น โดยทั่วไปไร่แห่งนี้จะให้ปุ๋ยตั้งแต่ปลูก-เก็บเกี่ยวเฉลี่ยประมาณ 7-8 ครั้ง ต่อรุ่น โดยให้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 เฉลี่ยครั้งละ 5 กรัม ต่อต้น ประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พร้อมให้น้ำในระบบท่อน้ำหยดควบคู่กันไป การปลูกแอปเปิ้ลเมล่อนไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานช่วยผสมเกสรเหมือนกับเมล่อนสายพันธุ์อื่นๆ ที่นี่อาศัยแมลง คือ ผึ้ง เป็นตัวช่วยผสมเกสรตามธรรมชาติ โดยคัดเลือกผลผลิตที่มีคุณภาพดี เพียงต้นละ 1 ลูก เท่านั้น ผลที่ไม่สมบูรณ์จะตัดออก โดยทั่วไปจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เฉลี่ยรุ่นละ 2,000 กิโลกรัม มีรายได้ต่อรุ่นไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท




โรคแมลงศัตรูพืช

คุณสุวรรณ ขาวขำ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 บ้านหนองหิน ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี โทร. (089) 087-4967 ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรของไร่ดราก้อน ฟาร์ม กล่าวว่า การปลูกแอปเปิ้ลเมล่อน มักเจอปัญหาโรคเหี่ยว โดยเชื้อราจะเข้าทางรากต้นพืช ในระยะต้นอ่อนใบเลี้ยงจะเหี่ยว เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ร่วง พืชแสดงอาการเหี่ยวเฉาจากส่วนยอดลงมา ส่วนเถาของต้นที่โต จะแสดงอาการใบล่างเหลือง และแสดงอาการหลายอย่าง เช่น ต้นแตก เกิดอาการเน่าที่โคนและซอกใบ เมื่อเกิดอาการเน่า จะพบเชื้อราสีขาวบริเวณรอยแตก ทำให้ต้นพืชแสดงอาการเหี่ยวและตายในที่สุด

แนวทางแก้ไขปัญหาโรคเหี่ยว คือถอนต้นที่เป็นโรคไปเผาทำลายทิ้ง และป้องกันโรคโดยใช้สารจุลินทรีย์ เช่น ไตรโคเดอร์ม่า นอกจากนี้ วางแผนป้องกันกำจัดโรคเหี่ยวในแนวทางอื่นๆ เช่น ปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง ของดินปลูกให้เหมาะสม คืออยู่ที่ pH 6.5 พร้อมใส่ปุ๋ยไนเตรต และไนโตรเจน เพื่อลดความรุนแรงของโรค รวมทั้งใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาโรคใบหงิกในแปลงปลูกแอปเปิ้ลเมล่อน เนื่องจากผืนดินแห่งนี้มี “ไส้เดือนฝอยรากปม” ซึ่งอยู่ในกลุ่มพยาธิตัวกลม ไส้เดือนฝอยรากปมจะใช้ปากที่มีลักษณะคล้ายเข็ม แทงเซลล์พืชและปล่อยเอนไซม์ เข้าทำลายและดูดสารอาหารจากพืช เปรียบเสมือนพยาธิพืชนั่นเอง ทำให้ผลผลิตเสียหายและคุณภาพผลผลิตลดลง ทางฟาร์มพยายามแก้ไขปัญหาโดยปล่อยเชื้อไตรโคเดอร์ม่าพร้อมระบบน้ำหยด สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

นอกจากนี้ ทางฟาร์มต้องคอยดูแลใส่ใจป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชประเภทอื่นๆ เพราะหากดูแลจัดการไม่เหมาะสม จะทำให้ผลผลิตเสียหายได้ ทางฟาร์มจะใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพเข้ามาฉีดพ่นเพื่อขับไล่แมลงในแปลงเพาะปลูก ซึ่งปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพดังกล่าว ผลิตจากเศษวัสดุในไร่ คือ ผลแอปเปิ้ลเมล่อนที่ตกเกรด หมักรวมกับสาร พด. ของกรมพัฒนาที่ดิน



คุณธีรเกียรติ ทะแพงพันธ์

อากาศแปรปรวน ปลูกดูแลยาก

แอปเปิ้ลเมล่อน เหมือนพืชตระกูลแตงทั่วไปที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อน โดยช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการปลูก อยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียส ในเวลากลางวัน และ 18-20 องศาเซลเซียส ในเวลากลางคืน ผลผลิตในช่วงฤดูร้อน จะทำให้แอปเปิ้ลเมล่อนเจริญเติบโตได้ไวขึ้น ตั้งแต่ปลูก-เก็บเกี่ยว ใช้เวลาเพียง 48-49 วัน เท่านั้น

คุณธีรเกียรติ กล่าวว่า ภาวะอากาศแปรปรวนในช่วงที่ผ่านมา เป็นอุปสรรคต่อการเพาะปลูกแอปเปิ้ลเมล่อน โดยเฉพาะภัยหนาวในช่วงต้นปีที่ผ่าน ผลกระทบจากอากาศหนาวเย็น ทำให้ต้นแอปเปิ้ลเมล่อนชะงักการเจริญเติบโตได้ตั้งแต่ระยะต้นกล้า การออกดอกติดผลจะล่าช้าอีกต่างหาก ตั้งแต่ปลูก-เก็บเกี่ยว ต้องใช้เวลานานเกือบ 60 วัน

ช่วงฤดูฝน ปลูกดูแลยาก เพราะแปลงปลูกแอปเปิ้ลเมล่อนถูกน้ำฝนบ่อยๆ เสี่ยงเกิดโรคราน้ำค้างระบาดได้ง่าย เพราะต้นแอปเปิ้ลเมล่อนเป็นพืชตระกูลแตงที่มีใบกว้างใหญ่และมีขน เมื่อสัมผัสกับน้ำฝนจะเกิดหยดน้ำค้างบนใบอยู่เสมอ ไม่แห้งง่าย เสี่ยงเกิดเชื้อราน้ำค้างบนใบได้ง่าย ทำให้เกิดอาการใบหงิก สร้างความเสียหายต่อผลผลิตในแปลงปลูกในวงกว้าง

การเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวผลผลิต สังเกตได้จากสีผิวของผลผลิต หากพบว่า มีสีเหลืองอ่อนที่บริเวณขั้วผล แสดงว่าผลเริ่มสุก สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว ผลผลิตส่วนใหญ่จากไร่แห่งนี้จะส่งไปขายในท้องตลาด ในราคาขายส่งที่กิโลกรัมละ 40-50 บาท หากใครมีโอกาสมาเยือนไร่แห่งนี้ จะมีโอกาสชมและชิมแอปเปิ้ลเมล่อน รับรองว่าจะต้องติดใจในรสชาติที่หวาน กรอบ สดๆ ของไม้ผลชนิดนี้อย่างแน่นอน

หากใครสนใจอยากเยี่ยมชมแปลงปลูกแอปเปิ้ลเมล่อน ของไร่ดราก้อน ฟาร์ม แห่งนี้ สามารถติดต่อกับ คุณธีรเกียรติ ทะแพงพันธ์ ตามที่อยู่และเบอร์โทร.ข้างต้นได้ตลอดเวลา

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : sentangsedtee.com , สาวบางแค 22 / นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน