ช่วงนี้เข้าสู่หน้าฝนแล้ว อากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงบ่อย และสภาพอากาศแบบนี้
เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคสารพัดและแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ
โรคไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ โรคท้องร่วงเฉียบพลัน โรคตาแดง
และโรคไข้เลือดออก ที่มียุงเป็นพาหะนำโรค ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ
ซึ่งยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน มักออกกัดเวลากลางวัน
มีแหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆ อาทิ โอ่ง
แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง
เป็นต้น ซึ่งวิธีป้องกันยุงลายก็มีหลายวิธี ทั้งนอนในมุ้ง
หรือบริเวณบ้านที่มีมุ้งลวด ทาหรือใช้ฉีดยุง หรือใช้ที่จุดยากันยุง
แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง
เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ภก. สมชาย ปรีชาทวีกิจ ปฏิบัติหน้าที่รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ อย. ออกสุ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพในท้องตลาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังความปลอดภัยของผู้บริโภคนั้น ล่าสุดได้ตรวจพบว่ามีการจำหน่ายยาจุดกันยุง และธูปหอมไล่ยุงในหลายจังหวัดทางภาคอีสาน จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์ธูปหอมไล่ยุงฉลากภาษาจีน บรรจุกล่องกระดาษสีเหลือง-สีฟ้า 2.ผลิตภัณฑ์ธูปหอมไล่ยุงฉลากเป็นภาษาเขมร บรรจุกล่องกระดาษสีเขียว-สีเหลือง 3.ผลิตภัณฑ์ธูปหอมไล่ยุง Ranger Scout บรรจุกล่องกระดาษสีน้ำเงิน-สีเขียว 4.ผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุงชนิดขดตราหัวเสือ ฉลากเป็นภาษาจีน บรรจุกล่องกระดาษสีแดง-สีขาว ห่อด้วยพลาสติกใสไม่มีสี และ 5.ยาจุดกันยุงชนิดขดตรา Laojun ปิดด้วยแผ่นกระดาษ สีฟ้า-สีเหลือง-สีดำ มีรูปเด็กบนฉลาก ฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ
ภก.สมชาย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ซึ่งต้องขึ้นทะเบียน แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนกับ อย. จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ได้มีการส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลการตรวจพบว่ามีสารเมเพอร์ฟลูทริน (Meperfluthrin) เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์
ซึ่งเป็นสารที่ อย. ไม่เคยรับขึ้นทะเบียนมาก่อน ไม่ผ่านการประเมินด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ รวมถึงความเหมาะสมของอัตราการใช้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้ใช้ได้ การนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มิได้ขึ้นทะเบียนมีความผิดทางกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรให้ความสำคัญและตรวจดูเลขทะเบียน และเครื่องหมาย อย. ในผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัย ใช้แล้วไม่เกิดอันตราย
อย่างไรก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ หากจะไล่ยุงลองมองหาวิธีอื่นโดยไม่ต้องใช้ยาจุดกันยุง เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัยแล้ว ยังเสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งอีกด้วยนะ
ขอขอบคุณที่มาจาก : matichon.co.th
เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ภก. สมชาย ปรีชาทวีกิจ ปฏิบัติหน้าที่รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ อย. ออกสุ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพในท้องตลาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังความปลอดภัยของผู้บริโภคนั้น ล่าสุดได้ตรวจพบว่ามีการจำหน่ายยาจุดกันยุง และธูปหอมไล่ยุงในหลายจังหวัดทางภาคอีสาน จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์ธูปหอมไล่ยุงฉลากภาษาจีน บรรจุกล่องกระดาษสีเหลือง-สีฟ้า 2.ผลิตภัณฑ์ธูปหอมไล่ยุงฉลากเป็นภาษาเขมร บรรจุกล่องกระดาษสีเขียว-สีเหลือง 3.ผลิตภัณฑ์ธูปหอมไล่ยุง Ranger Scout บรรจุกล่องกระดาษสีน้ำเงิน-สีเขียว 4.ผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุงชนิดขดตราหัวเสือ ฉลากเป็นภาษาจีน บรรจุกล่องกระดาษสีแดง-สีขาว ห่อด้วยพลาสติกใสไม่มีสี และ 5.ยาจุดกันยุงชนิดขดตรา Laojun ปิดด้วยแผ่นกระดาษ สีฟ้า-สีเหลือง-สีดำ มีรูปเด็กบนฉลาก ฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ
ภก.สมชาย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ซึ่งต้องขึ้นทะเบียน แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนกับ อย. จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ได้มีการส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลการตรวจพบว่ามีสารเมเพอร์ฟลูทริน (Meperfluthrin) เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์
ซึ่งเป็นสารที่ อย. ไม่เคยรับขึ้นทะเบียนมาก่อน ไม่ผ่านการประเมินด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ รวมถึงความเหมาะสมของอัตราการใช้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้ใช้ได้ การนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มิได้ขึ้นทะเบียนมีความผิดทางกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรให้ความสำคัญและตรวจดูเลขทะเบียน และเครื่องหมาย อย. ในผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัย ใช้แล้วไม่เกิดอันตราย
อย่างไรก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ หากจะไล่ยุงลองมองหาวิธีอื่นโดยไม่ต้องใช้ยาจุดกันยุง เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัยแล้ว ยังเสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งอีกด้วยนะ
ขอขอบคุณที่มาจาก : matichon.co.th