จะเกิดอะไรขึ้น หากคุณวิ่ง 30 นาที? มาดูกัน...
ยิ่งคุณวิ่งมากเท่าไร ร่างกายของคุณจะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นเท่านั้น คนที่วิ่งอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ อาจวิ่งติดต่อกันเป็นเวลา 30 นาที 1-2 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น โดยไม่ต้องหยุด ทุกครั้งที่คุณวิ่งเรียกเหงื่อ เซลล์ในร่างกายจะเริ่มทำงานและก่อให้เกิดปฏิกิริยาห่วงโซ่ ซึ่งส่งผลดีเลิศต่อร่างกายและจิตใจจนคุณจนคุณต้องทึ่ง!
1. “เมื่อเริ่มวิ่ง ในวินาทีแรกๆ กล้ามเนื้อเริ่มผลิตอะดีซีนไตรฟอสเฟต (ATP) ‘โมเลกุลที่ให้พลังงานสูงแก่เซลล์’ ซึ่งเราได้รับจากการสลายอาหาร” ATP เป็นพลังงานของร่างกายในทุกกิจกรรม ทั้งนอกร่มในร่มไม่ว่าจะเป็น เดิน วิ่ง กิน คิด คุย มีเซ็กซ์ เมื่อร่างกายจะใช้ ATP มันจะแตกตัวเป็น ADP แล้วปล่อยพลังงานออกมา
ไม่ใช่แค่พลังงานภายนอกเท่านั้น ยังเป็นพลังงานของอวัยวะภายใน เนื้อเยื่อ เซลล์ การเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร การผลิตฮอร์โมน ลำพังกลูโคสยังให้พลังงานแก่ร่างกายโดยตรงไม่ได้ มันต้องแปลงร่างเป็น ATP เสียก่อน (ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะมัน เรียกว่าสำคัญกว่าบ้าน รถ โทรศัพท์มือถือ หรือ แฟนมากมายนัก)
2. “ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ใน 90 วินาทีแรก” เพราะเซลล์ในร่างกายจะย่อยสลายไกลโคเจน หรือ กลูโคสรูปแบบหนึ่งที่ร่างกายสะสมไว้ตามกล้ามเนื้อ และยังดึงกลูโคสจากเม็ดเลือดมาใช้โดยตรงเพื่อผลิต ATP ให้มากขึ้น (นี่เป็นเหตุผลว่าการออกกำลังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้) เมื่อร่างกายดึงกลูโคสมาใช้จำนวนมาก กล้ามเนื้อจะปล่อยกรดแลคติกซึ่งเป็นของเสีย ที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานที่ไม่ใช้ออกซิเจน...และร่างกายจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณกำลังเหนื่อยล้า
3. “ใน 2-3 นาทีถัดมา หัวใจเต้นเร็วขึ้นสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่างๆ” ยกเว้นอวัยวะส่วนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายในขณะนั้น ช่วงนี้คุณจะหายใจหอบถี่ เพราะเซลล์กล้ามเนื้อพยายามดึงออกซิเจนเข้าร่างกายเพื่อเผาผลาญกลูโคส ‘ตอนออกวิ่ง กล้ามเนื้อใหญ่สุดของร่างกาย คือ กลูเทียส แม็กซิมัส (ก้น) ส่วนขาและส่วนลำตัว ยังคงประคองให้เราเคลื่อนที่ต่อได้ ควบคุมสนับแข็ง และขยายข้อต่อสะโพกให้กว้างขึ้น เพื่อให้เท้าเคลื่อนไหวขึ้นลงได้’
ร่างกายจะเริ่มเผาผลาญแคลอรี่และไขมันส่วนเกินที่สะสมเอาไว้ (นักวิ่งจะเผาผลาญได้ 100 แคลอรี่ต่อระยะทาง 1.6 กิโลเมตร) การเผาผลาญที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น...เพื่อลดความร้อน ระบบหมุนเวียนเลือดจะเปลี่ยนเส้นทางไปที่ผิวหนังแทน ใบหน้าคุณจึงมีเลือดฝาด ต่อมเหงื่อเริ่มผลิตความชื้น เพื่อไม่ให้คุณร้อนจนเกินไป
4. “คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้น และแข็งแกร่งใน 10 นาที (หากคุณฟิตจริง)” ถ้ากล้ามเนื้อและแหล่งผลิต ATP ในร่างกายยังคงมีเพียงพอ และดึงออกซิเจนมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเผาผลาญไขมันและกลูโคสได้ด้วย...แต่ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายมานาน ATP จะไม่สูงขึ้นเท่าที่ร่างกายต้องการ ‘คุณจะเริ่มหายใจไม่ออก หรือดึงออกซิเจนมาใช้ไม่ทัน กรดแลคติกก็หลั่งไปทั่วร่างจนคุณล้าแทบก้าวขาไม่ออก’
5. “หลัง 30 นาที...ถึงเส้นชัยเสียที” ถึงตอนนี้ ให้คุณวิ่งช้าลงจนกลายเป็นการเดิน การใช้พลังงานจะลดต่ำ อัตราการหายใจเริ่มกลับสู่ปกติ ‘สมองถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนโดพามีน ซึ่งเป็นสารที่สร้างความเบิกบานใจ’ ถึงตอนนี้แม้คุณจะอยากกินของหวานบ้างก็ไม่มีปัญหา เพราะร่างกายได้สร้างแหล่งไว้เก็บไกลโคเจนเรียบร้อยแล้ว แคลอรีส่วนเกินจึงไม่ถูกเก็บไว้ในรูปไขมัน...โอ้ว ยอดมาก
เครดิต: นิตยสาร Women's Health
ยิ่งคุณวิ่งมากเท่าไร ร่างกายของคุณจะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นเท่านั้น คนที่วิ่งอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ อาจวิ่งติดต่อกันเป็นเวลา 30 นาที 1-2 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น โดยไม่ต้องหยุด ทุกครั้งที่คุณวิ่งเรียกเหงื่อ เซลล์ในร่างกายจะเริ่มทำงานและก่อให้เกิดปฏิกิริยาห่วงโซ่ ซึ่งส่งผลดีเลิศต่อร่างกายและจิตใจจนคุณจนคุณต้องทึ่ง!
1. “เมื่อเริ่มวิ่ง ในวินาทีแรกๆ กล้ามเนื้อเริ่มผลิตอะดีซีนไตรฟอสเฟต (ATP) ‘โมเลกุลที่ให้พลังงานสูงแก่เซลล์’ ซึ่งเราได้รับจากการสลายอาหาร” ATP เป็นพลังงานของร่างกายในทุกกิจกรรม ทั้งนอกร่มในร่มไม่ว่าจะเป็น เดิน วิ่ง กิน คิด คุย มีเซ็กซ์ เมื่อร่างกายจะใช้ ATP มันจะแตกตัวเป็น ADP แล้วปล่อยพลังงานออกมา
ไม่ใช่แค่พลังงานภายนอกเท่านั้น ยังเป็นพลังงานของอวัยวะภายใน เนื้อเยื่อ เซลล์ การเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร การผลิตฮอร์โมน ลำพังกลูโคสยังให้พลังงานแก่ร่างกายโดยตรงไม่ได้ มันต้องแปลงร่างเป็น ATP เสียก่อน (ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะมัน เรียกว่าสำคัญกว่าบ้าน รถ โทรศัพท์มือถือ หรือ แฟนมากมายนัก)
2. “ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ใน 90 วินาทีแรก” เพราะเซลล์ในร่างกายจะย่อยสลายไกลโคเจน หรือ กลูโคสรูปแบบหนึ่งที่ร่างกายสะสมไว้ตามกล้ามเนื้อ และยังดึงกลูโคสจากเม็ดเลือดมาใช้โดยตรงเพื่อผลิต ATP ให้มากขึ้น (นี่เป็นเหตุผลว่าการออกกำลังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้) เมื่อร่างกายดึงกลูโคสมาใช้จำนวนมาก กล้ามเนื้อจะปล่อยกรดแลคติกซึ่งเป็นของเสีย ที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานที่ไม่ใช้ออกซิเจน...และร่างกายจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณกำลังเหนื่อยล้า
3. “ใน 2-3 นาทีถัดมา หัวใจเต้นเร็วขึ้นสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่างๆ” ยกเว้นอวัยวะส่วนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายในขณะนั้น ช่วงนี้คุณจะหายใจหอบถี่ เพราะเซลล์กล้ามเนื้อพยายามดึงออกซิเจนเข้าร่างกายเพื่อเผาผลาญกลูโคส ‘ตอนออกวิ่ง กล้ามเนื้อใหญ่สุดของร่างกาย คือ กลูเทียส แม็กซิมัส (ก้น) ส่วนขาและส่วนลำตัว ยังคงประคองให้เราเคลื่อนที่ต่อได้ ควบคุมสนับแข็ง และขยายข้อต่อสะโพกให้กว้างขึ้น เพื่อให้เท้าเคลื่อนไหวขึ้นลงได้’
ร่างกายจะเริ่มเผาผลาญแคลอรี่และไขมันส่วนเกินที่สะสมเอาไว้ (นักวิ่งจะเผาผลาญได้ 100 แคลอรี่ต่อระยะทาง 1.6 กิโลเมตร) การเผาผลาญที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น...เพื่อลดความร้อน ระบบหมุนเวียนเลือดจะเปลี่ยนเส้นทางไปที่ผิวหนังแทน ใบหน้าคุณจึงมีเลือดฝาด ต่อมเหงื่อเริ่มผลิตความชื้น เพื่อไม่ให้คุณร้อนจนเกินไป
4. “คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้น และแข็งแกร่งใน 10 นาที (หากคุณฟิตจริง)” ถ้ากล้ามเนื้อและแหล่งผลิต ATP ในร่างกายยังคงมีเพียงพอ และดึงออกซิเจนมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเผาผลาญไขมันและกลูโคสได้ด้วย...แต่ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายมานาน ATP จะไม่สูงขึ้นเท่าที่ร่างกายต้องการ ‘คุณจะเริ่มหายใจไม่ออก หรือดึงออกซิเจนมาใช้ไม่ทัน กรดแลคติกก็หลั่งไปทั่วร่างจนคุณล้าแทบก้าวขาไม่ออก’
5. “หลัง 30 นาที...ถึงเส้นชัยเสียที” ถึงตอนนี้ ให้คุณวิ่งช้าลงจนกลายเป็นการเดิน การใช้พลังงานจะลดต่ำ อัตราการหายใจเริ่มกลับสู่ปกติ ‘สมองถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนโดพามีน ซึ่งเป็นสารที่สร้างความเบิกบานใจ’ ถึงตอนนี้แม้คุณจะอยากกินของหวานบ้างก็ไม่มีปัญหา เพราะร่างกายได้สร้างแหล่งไว้เก็บไกลโคเจนเรียบร้อยแล้ว แคลอรีส่วนเกินจึงไม่ถูกเก็บไว้ในรูปไขมัน...โอ้ว ยอดมาก
เครดิต: นิตยสาร Women's Health