ภาพจาก aphichato / Shutterstock.com
5 เรื่องที่ต้องรู้ สำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเงินช่วยเหลือเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้
สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2560 ได้สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก ธารน้ำใจจากองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงไหลหลั่งไปช่วยผู้ประสบอุทกภัยอย่างไม่ขาดสาย รวมทั้งเงินบริจาคที่รวบรวมได้จากพี่น้องชาวไทยทั่วทุกสารทิศ
นั่นจึงทำให้กระทรวงการคลังออกมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ โดยให้สิทธิ์ผู้บริจาคสามารถนำเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่ได้บริจาคเพื่อช่วยเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้มาลดหย่อนภาษีในปี 2560 ได้
สำหรับคนที่มีภาระต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี และตั้งใจที่จะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือชาวใต้อยู่ด้วยแล้ว อาจเลือกใช้สิทธิ์ส่วนนี้เพื่อเป็นค่าลดหย่อนภาษีในปี 2560 ได้เช่นกัน ส่วนจะต้องบริจาคภายในวันที่เท่าไร หรือใช้หลักฐานอะไรบ้างนั้น กระปุกดอทคอม ขอรวบรวมคำถามต่าง ๆ มาชี้แจงให้ได้ทราบกัน
ภาพจาก aphichato / Shutterstock.com
บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้ช่วงไหน ถึงได้สิทธิลดหย่อนภาษี ?
กรมสรรพากรระบุว่า ต้องเป็นการบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน (กรณีนิติบุคคล) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม 2560
ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ในปีไหน ?
เงินบริจาคนี้จะสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2560 ซึ่งจะยื่นรายการภายในเดือนมกราคม-มีนาคม 2561
ภาพจาก STR / AFP
ได้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่าไร ?
- กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนำจำนวนเงินที่ได้บริจาคไปหักลดหย่อนในการคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 1.5 เท่า แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
ตัวอย่างเช่น หากเราบริจาคเงินช่วยเหลือไป 1,000 บาท จะสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 1.5 เท่า คือ (1,000x1.5) เท่ากับ 1,500 บาท ถ้าเงินได้สุทธิของเราต้องเสียภาษีอยู่ในขั้น 5% เท่ากับว่าจะได้คืนภาษี 5% ของ 1,500 บาท คือ 75 บาท แต่หากฐานภาษีอยู่ที่ 30% เท่ากับว่าจะได้คืนภาษี 30% ของ 1,500 บาท คือ 450 บาท
- กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำจำนวนเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายได้ 1.5 เท่า แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
ต้องบริจาคหน่วยงานไหนถึงได้สิทธิลดหย่อนภาษี ?
กรมสรรพากรระบุว่าต้องการเป็นการบริจาคให้ผู้รับบริจาคดังนี้
- ส่วนราชการ มูลนิธิ องค์การหรือสถานสาธารณกุศลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
- ตัวแทนรับบริจาคที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ที่ได้ขึ้นทะเบียนแจ้งขอเป็นตัวแทนรับบริจาคกับกรมสรรพากร เช่น สถานีโทรทัศน์ หรือสถานีวิทยุ เช่น
ใช้หลักฐานอะไรเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบ้าง ?
- หลักฐานการรับเงิน หรือทรัพย์สิน ที่มีข้อความระบุว่าเป็นโครงการหรือเป็นการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ โดยอาจระบุช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัยไว้ด้วย
- หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในช่วงระยะเวลาที่เกิดอุทกภัย ซึ่งพิสูจน์ผู้โอนและผู้รับโอนได้
สำหรับมาตรการภาษีครั้งนี้นอกจากจะเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้มีการบริจาคเพื่อระดมความช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย และทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมในเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งหากใครมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทุกพื้นที่ และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร 1161
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
กรมสรรพากร
5 เรื่องที่ต้องรู้ สำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเงินช่วยเหลือเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้
สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2560 ได้สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก ธารน้ำใจจากองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงไหลหลั่งไปช่วยผู้ประสบอุทกภัยอย่างไม่ขาดสาย รวมทั้งเงินบริจาคที่รวบรวมได้จากพี่น้องชาวไทยทั่วทุกสารทิศ
นั่นจึงทำให้กระทรวงการคลังออกมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ โดยให้สิทธิ์ผู้บริจาคสามารถนำเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่ได้บริจาคเพื่อช่วยเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้มาลดหย่อนภาษีในปี 2560 ได้
สำหรับคนที่มีภาระต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี และตั้งใจที่จะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือชาวใต้อยู่ด้วยแล้ว อาจเลือกใช้สิทธิ์ส่วนนี้เพื่อเป็นค่าลดหย่อนภาษีในปี 2560 ได้เช่นกัน ส่วนจะต้องบริจาคภายในวันที่เท่าไร หรือใช้หลักฐานอะไรบ้างนั้น กระปุกดอทคอม ขอรวบรวมคำถามต่าง ๆ มาชี้แจงให้ได้ทราบกัน
บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้ช่วงไหน ถึงได้สิทธิลดหย่อนภาษี ?
กรมสรรพากรระบุว่า ต้องเป็นการบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน (กรณีนิติบุคคล) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม 2560
ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ในปีไหน ?
เงินบริจาคนี้จะสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2560 ซึ่งจะยื่นรายการภายในเดือนมกราคม-มีนาคม 2561
ภาพจาก STR / AFP
- กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนำจำนวนเงินที่ได้บริจาคไปหักลดหย่อนในการคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 1.5 เท่า แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
ตัวอย่างเช่น หากเราบริจาคเงินช่วยเหลือไป 1,000 บาท จะสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 1.5 เท่า คือ (1,000x1.5) เท่ากับ 1,500 บาท ถ้าเงินได้สุทธิของเราต้องเสียภาษีอยู่ในขั้น 5% เท่ากับว่าจะได้คืนภาษี 5% ของ 1,500 บาท คือ 75 บาท แต่หากฐานภาษีอยู่ที่ 30% เท่ากับว่าจะได้คืนภาษี 30% ของ 1,500 บาท คือ 450 บาท
- กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำจำนวนเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายได้ 1.5 เท่า แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
ต้องบริจาคหน่วยงานไหนถึงได้สิทธิลดหย่อนภาษี ?
กรมสรรพากรระบุว่าต้องการเป็นการบริจาคให้ผู้รับบริจาคดังนี้
- ส่วนราชการ มูลนิธิ องค์การหรือสถานสาธารณกุศลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
- ตัวแทนรับบริจาคที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ที่ได้ขึ้นทะเบียนแจ้งขอเป็นตัวแทนรับบริจาคกับกรมสรรพากร เช่น สถานีโทรทัศน์ หรือสถานีวิทยุ เช่น
ใช้หลักฐานอะไรเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบ้าง ?
- หลักฐานการรับเงิน หรือทรัพย์สิน ที่มีข้อความระบุว่าเป็นโครงการหรือเป็นการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ โดยอาจระบุช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัยไว้ด้วย
- หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในช่วงระยะเวลาที่เกิดอุทกภัย ซึ่งพิสูจน์ผู้โอนและผู้รับโอนได้
สำหรับมาตรการภาษีครั้งนี้นอกจากจะเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้มีการบริจาคเพื่อระดมความช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย และทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมในเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งหากใครมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทุกพื้นที่ และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร 1161
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
กรมสรรพากร