ผลจากการศึกษาของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุถึงการศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงของ “เมตะบอลิกซินโดรม” หรือ “โรคอ้วนลงพุง” ในกลุ่มวัยทำงานประเภทงานเบา อายุ 35-60 ปี พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมการกิน
คือการรับประทานอาหารมื้อเย็นมากกว่า 4 ทัพพี
การเลือกกินเนื้อปลาน้อยกว่าเนื้อหมู เนื้อวัว และการกินอาหารที่ซ้ำ
ๆกันทุกวัน
ทั้งนี้รูปแบบการเลือกกินอาหารใน 4 รูปแบบพบว่า
กลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการมีไขมันในช่องท้องมากกว่า 100 ตร.ซม.
มากที่สุดคือรูปแบบการกินที่เน้นเนื้อสัตว์ ลดอาหารกลุ่มข้าว - แป้ง 44.2%
รองลงมาเป็นกลุ่มที่กินเนื้อสัตว์ ธัญพืชผักผลไม้ในสัดส่วนเท่า ๆกัน 31.9%
กลุ่มที่กินแบบมังสวิรัติเป็นหลักเนื้อปลา ข้าว - แป้งสูงแต่ไขมันต่ำ 28.1%
และกลุ่มที่กินแบบมังสวิรัติเป็นหลัก เนื้อสัตว์ นม เนย
ไข่ได้บ้างแต่ปริมาณน้อย 25.7%
สำหรับกลุ่มที่มี “ความผิดปกติในการเผาผลาญอาหาร” หรือ “เมตะบอลิก ซินโดรม” จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน
โรคหัวใจ และหลอดเลือด โดยผู้ที่ถือเป็นเมตะบอลิก ซินโดรม ตามเกณฑ์ของ
national cholesterol education program (ncep)
ต้องมีความผิดปกติทางเมตะบอลิซึ่ม หรือการเผาผลาญอาหารอย่างน้อย 3 ใน 5 ข้อ
คือ 1.อ้วนลงพุง 2.ระดับไตรกลีเซอไรด์ 3.ระดับเอช-ดี-แอลคอเลสเตอรอล
4.ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร และ 5.ความดันโลหิต
ขณะเดียวกันตามเกณฑ์สหพันธ์เบาหวานนานาชาติ
ต้องมีภาวะอ้วนลงพุงร่วมกับความผิดปกติทางเมตะบอลิซึ่ม อีกอย่างน้อย 2 ใน 4
ข้อ
ดังนั้นการเลือกกินอาหารเพื่อช่วยป้องกันภาวะเสี่ยงต่อเมตะบอลิกซินโดรม
ควรเน้นประเภทธัญพืช ผัก ผลไม้เป็นหลัก และกินเนื้อสัตว์ นม เนย
ไข่บ้างในปริมาณน้อยและเป็นประเภทที่ไขมันต่ำ
ที่มา : Thaiquote