หาได้ 100 แต่ให้ใช้แค่ 10!! แนวทางการใช้ชีวิตของ คุณนที มาเสถียรวงศ์ #ที่อยากให้ทุกท่านได้อ่าน
คุณนที มาเสถียรวงศ์ เจ้าของธุรกิจบริษัท ไทม์ ไมดาส จำกัด ตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาโรเลกซ์อันดับหนึ่งในประเทศไทย ได้ออกมาโพสต์ แชร์แนวคิดในเรื่องของการใช้ชีวิต ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า..
Part 1.
ช่วงหลังๆนี้ มีน้องๆ ทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง inbox เข้ามาหาผมหลายคน และมักถามผมเป็นทำนองว่า พี่ทำอะไร "ทำไมชีวิตดี๊ดี ทำอย่างไรถึงจะรวย" "พี่เป็นไอดอลผมเลย" (เพราะแค่ดูว่ารวยเหรอ???) "รถพี่สวยมาก ทำไงถึงจะมีปัญญาซื้อได้สักคันในชีวิตนี้" ฯลฯ นี่คงเป็นผลมาจากงานด้าน luxury retailing ที่ผมทำและงานอดิเรกของผม ทั้งนาฬิกา กล้อง และ รถ vintage Ferrari หลายคัน (ที่ผมสะสมกึ่งลงทุน เป็น passion investment) เลยทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดไปว่า อะไรมันจะดีจะรวยขนาดนั้น
แต่.....คุณเข้าใจผิดไปแล้ว
บางคนถามมาแบบไร้สาระ ผมก็ไม่อยากตอบ แต่บางคนถามเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ผมก็ตอบไปตามความจริง ว่าผมไม่ได้ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จอะไรมากมาย และในความเป็นจริง คนที่รวยมากๆ รวยกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่า มีมากมายในประเทศนี้ ผมถือว่าตัวเองธรรมดามากๆ เพราะหลายๆอย่างก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทำมาให้ ปูทางไว้ให้ บ้างก็เป็นโชค เป็นจังหวะของชีวิต ผมไม่ใช่คนที่เป็นนักธุรกิจอะไรมากมาย ออกจะนิสัยติสท์ๆด้วยซ้ำ คือทำอะไรตาม passion ของตัวเองมากกว่าที่จะเน้นทำเงินหาเงินเยอะๆตลอดเวลา จุดมุ่งหมายในชีวิต ก็คือดำเนินชีวิตที่มีความสุขกายสบายใจ ใช้จ่ายกินเที่ยวตามฐานะแบบพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อ หรือสุรุ่ยสุร่ายจนเกินไป เพราะชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะสุขภาพ หรือ ธุรกิจ มันไม่มีอะไรแน่นอน เงินที่หามาได้ก็ต้องฉลาดใช้ เหลือก็นำไปลงทุนต่อยอด ลงทุนในการศึกษาให้ลูกๆ ลงทุนไปในธุรกิจที่ความเสี่ยงต่ำ เป็น passive income (ไม่ใช่ขายตรง เพราะขายตรงไม่ใช่ passive income) ปัจจุบัน มากกว่า 65%-70% ของเงินทุน ไปลงอยู่กับทรัพย์สินเหล่านี้ ซึ่ง return on investment ต่อปี (ไม่นับ capital gain จาก appreciation) มันก็แค่ 8%-12% โชคดีว่า โครงการเหล่านี้ เราไม่ได้ leverage ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคาร เพราะมัน 100% self funded ถึงแม้จะผลตอบแทนต่ำ แต่มันค่อนข้าง stable และความเสี่ยงและความผันผวนของรายได้ก็ค่อนข้างต่ำ ครับ
ส่วนธุรกิจที่ทำอยู่ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันก็คือธุรกิจนาฬิกา เราทำมานานแล้ว ตอนนี้จะลงทุนเปิดสาขาหนึ่งก็ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 200-300 ล้านบาท การแข่งขันสูง มาร์จิ้นต่ำ กำไรก็นิดเดียว แต่เป็นธุรกิจที่ผมรัก ผูกพัน และภูมิใจครับ
กลับมาเรื่องที่น้องๆถามผมเข้ามา
ผมขออ้างถึงประโยคที่ไม่แน่ใจว่า Jack Ma พูดจริงหรือไม่ ที่บอกว่า "คนเราไม่มีทางรวยจากการอดออม แต่รวยจากการเพิ่มรายได้" ถามว่าจริงไหม จริงที่สุด แต่ไม่ใช่อย่างที่พวกเราส่วนใหญ่อยากจะเข้าใจกันเพื่อมาเป็นเหตุผลในการใช้เงินฟุ่มเฟือยครับ ที่ Jack Ma พูดได้ เพราะเขาไปถึงจุดนั้นแล้ว จะมีกี่คนที่ทำแบบนั้นได้!?? และถ้าหากคุณยังทำธุรกิจเล็กๆ ยังเป็นลูกจ้าง โอกาสมันไม่ใช่มาง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่มีเงินทุนที่อดออมสะสมมาเพื่อไปลงทุนต่อยอดรายได้ ครับ
ผมเกิดในปี คศ. 1964 (พศ. 2507) ยุค baby boomer ปีสุดท้าย (อะไรที่มันสุดท้ายๆ เขานิยมสะสมกันนะครับ 5555) แต่ได้รับคำสอนของพ่อแม่ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในยุคสงคราม ยุคแห่งความยากลำบาก ยุคของความขัดสน (ซึ่งก็เป็นยุคเดียวกับ ในหลวงฯ องค์รัชกาลที่ 9 ซึ่งตอนนี้พอจะเห็นภาพนะครับ ว่าทำไมพระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ทรงเน้นความพอเพียง ดำเนินกิิจวัตรเรียบง่าย ใส่รองเท้าก็ใส่จนเก่า ยาสีฟันก็ใช้จนหมดหลอด ฯลฯ เพราะพระองค์ทรงเข้าใจถึงความยากลำบากของประชาชนในยุคนั้น)
ที่ผมได้รับฟังมาจากพ่อแม่ที่สั่งสอนผมมาตั้งแต่เล็กๆเรื่องเงินก็คือ "หาได้ 100ให้ใช้แค่ 10 ที่เหลือต้องอดออมเอาไปลงทุนต่อยอดรายได้" "ทำอะไรทำให้พอกับกำลังของตัวเอง อย่ากู้เงินธนาคารเพราะดอกเบี้ยไม่เคยนอนหลับ" ฟังดูอาจจะไม่เข้ากับยุคสมัยนี้ ยุคของ Gen Z ที่ใช้จ่ายกันราวกับว่า โลกจะแตกอาทิตย์หน้า คนรุ่นใหม่ๆ มักมี YOLO Spending Attitude ที่ใช้จ่ายเงินกันแบบไม่ต้องคิดถึงวันข้างหน้า ใช่ครับ You only live once ก็จริง แต่ควรจะ live long และ live a good and sustainable life ครับ ชีวิตต้องดีขึ้นเรื่อยๆ มีเหลือ มีเก็บ เผื่อไว้ยามฉุกเฉิน ยามที่สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยามที่เสาหลักของครอบครัวจากไปกระทันหัน ยามที่เกิดเจ็บป่วยแล้วไม่สามารถหารายได้ในระดับเท่าเดิมได้อีก
ครอบครัวผม ก็เคยยากจนมาก่อน ผมเกิดและโตทันช่วงเวลานั้น แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร ยังจำเสื้อที่แม่เย็บมาจากเศษผ้าให้ลูกๆใส่ได้ ยังจำการนั่งล้อมวงทานข้าวกับพื้นเอากล่องกระดาษมาคว่ำทำเป็นโต๊ะได้ ยังจำโทรทัศน์ขาวดำที่พ่อเก็บมาจากกองขยะเอามาซ่อมเองให้พวกเราดูได้ (คุณพ่อเคยเป็นช่างไฟฟ้า) ดูไปต้องตบไป เพราะภาพมันล้มตลอด
ถ้าเงินคุณมาเร็ว หาได้ก็เลี้ยงเพื่อน เลี้ยงสาว ทิปเด็ก กินหรู เที่ยวแพงตลอด เงินหมด เพื่อนกิน+น้องรัก ก็จะค่อยๆทยอยหายกันไปทีละคนสองคน มันเป็นธรรมชาติครับ ไม่เชื่อคอยดูกันไปครับ แต่จะว่าไปก็ไม่ผิดนะครับ เอาที่สบายใจ ถ้าคุณสามารถ maintain income ในการรักษา lifestyle แบบนี้ไปได้เรื่อยๆก็นับว่าคุณโชคดี
แต่อย่างที่บอก ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอน อย่าไปตามอย่างคนอื่นบนโลก social media เพราะคุณไม่มีทางรู้ด้านอื่นของชีวิตเขา คุณไม่รู้ว่าคุณกำลัง "ขี้ตามช้าง" อยู่หรือไม่
ถ้าอยากมีอนาคต มีชีวิตที่มั่นคง ถ้ายังมีไม่มาก ก็ต้องรู้จักฉลาดใช้เงิน แน่นอน หาเงินมาได้ ก็ต้องใช้เงินหาความสุขใส่ตัวบ้าง ไม่งั้นจะหามาทำไม แต่ความสุขเรายังต้องหัดบริหารมันให้เป็นเลยครับ ไม่งั้นมีเงินเท่าไรก็ไม่พอใช้ครับ
เอ้า ให้ผมยกตัวอย่างอะไรอย่างหนึ่งที่เห็นง่ายๆชัดๆ ตามภาพประกอบนี้แล้วกัน ที่ผมเขียน caption แบบนี้ "I always fly first class...when it is free of charge." ก็เพียงแค่อยากจะบอกว่า สำหรับคนฐานะแบบผม ถ้าไม่ใช่แลกไมล์ หรือ บริษัท ตปท จ่ายให้ ผมยังเจียมเนื้อเจียมตัว บิน economy ครับ ลำบากนิดเดียว save ไป 60,000-150,000 เอาไปกินอาหารดีๆอร่อยๆ (ที่ไม่จำเป็นต้องติดดาว) เอาเงินไปนอนโรงแรมที่ location ดีๆ ห้องพักดีๆ วิวสวยๆ ได้ตั้งหลายคืน พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงน้องๆหลายๆคน ที่บ่นว่าบินไปญี่ปุ่นแค่ 6 ชั่วโมง ทนนั่ง economy ไม่ได้ (สังเกตุมาเริ่มเป็นกันตั้งแต่ไอ้ยุค show off กันบน facebook นี่แหละ) ผมคิดว่าถ้าได้ตั๋วสายการบินแขกถูกๆช่วง promotion หรือแลกไมล์ ก็ว่าไปอย่าง หรือไม่คุณก็ต้องมีฐานะเหลือๆ จริงๆ แต่บ่อยครั้งที่ผมดูฐานะคนที่เคยพูดแบบนี้ หลายๆคน ฐานะก็ยังไม่มั่นคงอะไร บางคนก็ยังมีรายได้ไม่แน่นอนแทบจะเลี้ยงดูตัวเองจริงจังมิได้ อายุก็ยังน้อย ร่างกายแข็งแรง แถมบางคนก็เป็นผู้หญิง ตัวเล็กนิดเดียว เล็กกว่าผมตั้งเยอะ แต่บอกว่า "ไม่ไหวหรอก นั่งไม่ได้ ทรมาน" (มองบน) อืมย์ ผมอายุ 52 ฐานะแบบนี้ (ผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่ก็มีพอสมควร) ผมยังบิน economy 21 ชั่วโมงไปสหรัฐอเมริกา ได้สบายๆ ผมเห็นเพื่อนบางคน มีเป็นหมื่นๆล้าน ก็ยังบิน economy ได้ จะว่าเขางกก็แล้วแต่จะมอง แต่ก็นั่นแหละ คนเราคิดไม่เหมือนกัน ก็แล้วแต่จะชอบครับ เอาที่สบายใจ เงินใครก็เงินเขา แต่ก็อยากจะบอกว่า ถ้าต้องการมีอนาคตที่มั่นคง ไม่ลำบาก หรืออยากจะมี dream car dream house หรือว่าจะ dream อะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องหัดอดออมตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่จะเอาหรูไปหมดเสียทุกอย่าง ต้องรู้จักใช้เงิน รู้จักนำไปลงทุนเพื่อการต่อยอดทางธุรกิจครับ ยกเว้นว่าคุณบังเอิญไปอยู่ในธุรกิจหรืองานอะไรที่เงินมันมาง่ายมาเร็ว ก็ว่ากันไปครับ
ภาษาอังกฤษ มีคำว่า Rich is what a rich does. มันคือแค่เปลือกของความหมายครับ ถ้าไม่แปลให้ดี จะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัว หนี้สินล้น ครับ คือต้องเลือกเอาระหว่าง "ดูรวย" หรือ "รวยจริง"
ผมอยากบอกเลยว่า คุณไม่มีทางรวยจากการทำตัวใช้จ่ายเหมือนคนรวย แต่ต้องคิดหาเงินและลงทุนตามแนวคิดของคนที่รวยขึ้นมาจากความจนต่างหากครับ (ไม่ใช่คนที่เกิดมารวยอยู่แล้ว)
Happy Monday ขอให้สนุกกับการทำงานหาเงิน รถติดตลอดชีวิต ในเมืองเส็งเคร็งชื่อกรุงเทพมหานครฯ แห่งนี้ครับ
Part 2.
วันนี้อยากพูดเรื่องความพอเพียง
ถ้าคุณมี financial resources ค่อนข้างไม่จำกัด แน่นอน คุณจะใช้จ่ายอะไรอย่างไรก็ได้ ก็ถือว่าคุณเก่ง มีความสามารถหาเงินได้มาก หรือไม่ก็โชคดีที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่บรรพบุรุษทำไว้ให้
แต่ถ้าคุณเป็นเหมือนผม ที่มีจำกัด ยังต้องขยันทำงาน หาเงินตัวเป็นเกลียว ยังมีภาระทางการเงิน (แต่ก็พอมีแบ่งสันปันส่วนไว้เพื่อที่จะ enjoy life ได้บ้าง) คุณก็ต้องเลือกเอาว่าจะใช้เงินที่คุณมีอยู่ไปกับอะไรที่ให้ความสุขกับคุณมากกว่า หรือเป็นการลงทุนกับชีวิตที่ดีกว่า
บางคนเลือกที่จะใช้เงินไปกับประสบการณ์ชีวิต กินอาหารแพงๆ ติดดาว มิเชลิน บิน Business/First Class เลือกพักแต่ luxury hotels
ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะซื้อของหรูหรา brandnames กระเป๋ารองเท้าเสื้อผ้า หรือหมดไปกับความสวยความงาม (ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ทำกำไรมหาศาลจริงๆ แต่ it is a fact ว่ามันไม่มีอะไรวิเศษไปกว่า การพักผ่อนเพียงพอ ไม่เครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทานอาหารให้ครบหมู่ จริงๆนะ! )
แต่ผู้ชายส่วนใหญ่จะชอบของที่มีคุณภาพสูงๆ ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา เครื่องเสียง กล้อง ปืน รถ เรือ หรือสินค้า hi end ต่างๆที่มี precision สูงๆ เป็น state of the art design/engineering หรือของสะสมที่เป็น passion investment มากกว่า
จะชอบแบบไหน จะ balance ระหว่างการใช้จ่ายไปกับสิ่งของ หรือกับ ประสบการณ์และความสะดวกสบาย ก็ต้องเลือกเอา สิ่งเหล่านี้เป็น fine things in life ที่จะว่าไป ก็นอกเหนือจากความจำเป็นในการดำรงชีวิตทั้งนั้น และมันก็ไม่จำเป็นต้องมี เพิ่อที่จะมีความสุข ถ้าเรามองโลกเป็น เข้าใจสังคม เข้าใจธรรมชาติของกิเลส ถ้าเรารู้จักบริหารความสุขให้กับตัวเอง
แต่ที่สำคัญ Do not live somebody's else life มันไม่จำเป็น หรืออาจจะไม่ฉลาดเท่าไรที่จะวิ่งตามหรือเพ้อฝันกับ lavish lifestyle ของคนอื่นที่คุณเห็นๆกันบน Facebook หรือ Instagram เพราะนั่นเป็นแค่เสี้ยวเดียวของชีวิตคนอื่น อย่าพยายามมากเกินไปที่จะใช้ชีวิตแบบที่ตัวคุณเองไม่สามารถ afford ได้เอง เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการก่อหนี้ การหวังรวยทางลัด มองแต่จะหาวิธีรวยเร็ว ทำให้หมดความมานะบากบั่นในหน้าที่การงานที่ดูเหมือนว่ามันทำให้รวยไม่ทันใจ บ่อยครั้งมันนำไปสู่การทำธุรกิจที่ผิดกฏหมาย การพนัน การโกง การยักยอกทรัพย์ (ผมเพิ่งโดน พนง เลวๆโกงไปเกือบ 10 ล้านบาท) บางคนต้องขายตัว ขายวิญญาณ เลือกที่จะเป็นเด็กเสี่ย เป็นเมียน้อย นำไปสู่ชีวิตที่ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี และไม่มีคุณค่าในตัวเอง และถึงจุดนั้น สิ่งอื่นๆที่คุณพยายามไขว่คว้ามา ผมมองว่ามันก็ไม่มีความหมายอะไร
เงิน หาเท่าไรก็ไม่มีวันหมด
และหาเท่าไรก็ไม่มีวันพอใช้ ถ้าเราไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักค่าของเงิน ไม่รู้จักวิธีใช้เงิน
สิ่งที่ในหลวงฯดำรัสเรื่อง ความพอเพียง ช่างเป็นสิ่งที่เหมาะสมและควรเป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนไทยในยุคที่การ show off บน social media เฟื่องฟูเป็นอย่างยิ่งครับรวย-2
Part 3.
ผมเป็นคนประหยัด.....ไม่ฟุ่มเฟือย
คนที่ไม่รู้จักผม อาจจะฟังแล้วบอกว่า น่าหมั่นไส้ แต่นี่ผมพูดเรื่องจริงครับ เวลาผมซื้อของ ผมเน้นความคุ้มค่า ไม่เน้นราคา ผมจ่ายแพงได้ แต่ต้องไม่ waste ผมไม่ยอมจ่ายเงินไปกับของจุกจิกที่ ไร้ค่า ซื้อมาเก็บไว้ก็รกบ้าน ขายต่อก็ไม่มีราคา ไม่มีคนเอา เก็บไว้ก็ไม่ภูมิใจ (เช่นของ souvenirs เวลาไปเที่ยวทั้งหลาย)
เวลาผมจะซื้ออะไร ราคาสูงๆ ผมไม่ค่อยคิดเรื่องจำนวนเงิน (ถ้าผมมีเงินพอ) แต่ผมจะดูว่า ของสิ่งนั้นมันเป็น assets หรือ expenses เสมอ (บางคนบอกว่าผมคิดมากไปไหม ไม่นะ ผมไม่รู้สึกว่าต้องคิดมากอะไร คิดเรื่องแบบนี้ดีกว่าไปคิดเรื่องรกสมองของคนอื่นอีกมากมาย)
ผมจะพิจารณาเสมอว่า ถ้าเป็น assets ถึงเวลาไม่ชอบ ขายต่อง่ายหรือไม่ เก็บไว้มี appreciation ใน value หรือไม่ หลายๆคนจะคิดว่า ผมเวลาชอบอะไร ก็จะบ้าแล้วยอมจ่าย ยอมซื้อ ใช้เงินเหมือนไม่ได้คิด เอาแต่ใจ ก็อยากจะบอกว่า ที่จริงผมคิดดีก่อนทุกครั้ง และบางทีเมื่อโอกาสมา เราต้องรีบคว้าไว้ เพราะของดีมันอยู่ไม่นาน มันก็ต้องเสี่ยงกันบ้าง ตัดสินใจเร็วบ้าง ของแบบนี้บางทีมันเป็น gut feelings และผมเป็นคนที่มักได้ของดีๆในราคาไม่แพงเกินไป
แต่ถ้าเป็น expenses ผมเป็นคนใช้เงิน ใช้ของ ต้องคุ้มค่า ของดี ราคาสูงใช้ได้นาน ใช้ได้ทน ผมยอมจ่าย ดีกว่าใช้ของราคาถูกแล้ว คุณภาพต่ำ แล้วต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น หลอดไฟทำจากเยอรมัน สมัยก่อนใช้ได้ 4 ปี ราคา 250 บาท แต่หลอดคุณภาพต่ำจากจีน หลอดละ 50 บาทใช้ได้แค่ 3 เดือนขาด ผมเลือกหลอดเยอรมัน (ของจีนคุณภาพสูงก็มี) มาคิดๆดู ของคุณภาพต่ำเหล่านี้ ใช้ปริมาณวัตถุดิบที่ขุดขึ้นมาจากธรรมชาติในปริมาณต่างกันไม่มาก สิ้นเปลืองพลังงานในการผลิตต่างกันไม่มาก แต่ความพิถีพิถันในการออกแบบ กรรมวิธีในการผลิต การออกแบบทางวิศวกรรมมันต่างกัน ก็ทำให้คุณภาพ และคุณค่าของสิ่งของต่างกัน ของพังเร็วก็กลายเป็นขยะบนโลกใบนี้เต็มไปหมด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีโอกาสถูกนำกลับมา recycled ได้อีก น่าเสียดาย....
อ่อๆ พอดีเมื่อกี้ อ่านเจอโพสต์ของเพื่อนรุ่นน้อง ที่พูดเกี่ยวกับการกินอาหารพื้นๆราคาไม่แพง (แต่ขับรถคันละ 10 กว่าล้าน) ก็เลยนึกถึงเรื่องการบริหารเงิน บริหารความสุข ด้วยอีกเรื่องหนึ่ง ก็เลยขอ tie in เข้ามาพูดตรงนี้เลย
จะบอกว่า ในมุมมองของผม คนที่มีความสุขกับการกินก๋วยเตี๋ยว 30 บาท ข้างถนนได้ แต่ก็ขับรถคันละ 10 กว่าล้าน มันไม่ได้แปลกอะไรเลย เขาเรียกว่าคนที่บริหารความสุขเป็น
(ขอก๋วยเตี๋ยวร้อนๆอร่อยๆนะ) ของทุกอย่างในชีวิต ไม่จำเป็นต้องหรูหราเสมอไป อาหารแพงๆ กินบ่อยๆก็ใช่ว่าจะไม่เบื่อ แต่ข้าวแกงก๋วยเตี๋ยว เรากลับกินได้ทุกวัน ไม่มีเบื่อ
บางคนก็กินญี่ปุ่นแพงๆทุกมื้อ (ถ้ามีความสุขก็กินไป) แต่ถ้าเราใช้เงินแบบเบี้ยหัวแตก ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย อะไรก็ต้องหรูดูดีไปหมด แต่ก็บ่นว่าเมื่อไรจะมีรถ supercar ขับ แล้วก็ขับแค่ BMW ขับ Benz ต่อไป ก็เลือกกันเอง เอาที่สบายใจ แค่ไม่ใช่ทางผม
อยากจะบอกว่า ซื้อเบนซ์ใหม่ๆ 1 คัน ใช้ไป 5 ปี ขาดทุนเยอะกว่า ซื้อ Ferrari มือสอง 1 คัน รวมค่า maintenance ด้วยครับ (ที่จริง Ferrari ไม่ขาดทุน แต่กำไรด้วยครับ) ขับในเมืองทุกวัน ผมยังใช้ Honda Accord ปี 2003 ที่เก่าๆแต่ขับสบาย reliable สตาร์ทติดทุกครั้ง เครื่องเดินเรียบ นั่งสบาย แอร์เย็น คือส่วนใหญ่ ผมชอบอยู่แบบชาวบ้านๆพื้นๆธรรมดาๆเรียบๆง่ายๆ ขับไปไหน จอดที่ไหน ก็ได้นะ แบบนั้นดีกว่า สบายใจดี (อยากสารภาพว่า เวลาไปจอด supercar พนักงานที่น่ารักชอบมารอเปิดปิดประตูให้ เรากลับอึดอัด เกรงใจ และรู้สึกว่าตัวเองสำคัญเกินพอดี แต่จะว่าไป พารากอนมันก็หาที่จอดรถยากจริงๆ ได้จอดตรง supercar หรือ Platinum Scarlet มันก็เป็น privilege ที่ผม enjoy นะ)
คุยเรื่องการใช้จ่ายกันต่อ...
ถ้าเรารู้จักใช้เงินให้คุ้มค่า มีความสุขกับอะไรที่มันเรียบๆง่ายๆได้ ไม่ต้องแพงเสมอไป มองสิ่งต่างๆให้ออก ว่าอะไรคือเปลือก อะไรคือแก่นแท้ ประหยัดบางด้าน เพื่อสามารถ enjoy อีกด้าน หรือ อีกระดับของชีวิต คือการบริหารเงิน บริหารความสุข ที่แต่ละคนต้องไปเลือกกันเอาเองว่าชอบแบบไหน
ภาพวาด เครื่องประดับ เพชรนิลจินดา บ้าน กระเป๋า นาฬิกา เลนส์กล้อง หรือแม้แต่ รถ ที่ใครๆมักเหยียดว่ามีแต่ "ลด" ที่จริงมันคือ การลงทุนที่คุ้มค่า หากเรารู้จักเลือกซื้อเลือกใช้ ครับ
Part 4.
Firenze-Como-Milan-Bordeaux-Paris
เมื่อปลายปี 2015 ผมได้มีโอกาสไปทริปดื่มไวน์กับเพื่อนๆที่อิตาลี และ ฝรั่งเศส ก็เลยได้ข้อคิดบางอย่าง มาคุยให้ฟังกันครับ
ทริปนี้ ขอบอกเลยว่า "We had too much of fine things." จริงๆครับ
และทำให้ผมนึกถึงปรัชญาในการหาความสุขให้ชีวิต ตามคำกล่าวที่ว่า
"เมื่อมีความมืด จึงรู้จักความสว่าง"
"เมื่อมีความทุกข์ เราจึงรู้จักความสุข"
"เมื่อเรามีความขัดสน เราจึงรู้จักความพอเพียง"
(เมื่อมีของไม่อร่อย เราจึงชื่นชมของอร่อย)
อ่านแล้วอย่าเพิ่ง งง ครับ
ผมดื่มไปก็คิดไป ทริปนี้ เราเหลือไวน์ Mouton ปีดีๆที่เปิดแล้วเป็นขวดๆ ทิ้งไว้ใน Decanter พวกเราบ้วน Margaux ปีใหม่ๆ ทิ้ง และ ไม่มีการขอเติม Cheval Blanc 1978 ที่ทาง Chateau ตั้งใจเปิดให้พวกเราแบบไม่อั้น ส่วนไวน์ดีๆอีกหลายๆ Chateau ที่พวกเราได้มีโอกาสไปเยี่ยม ซึ่งปกติตอนอยู่เมืองไทยดื่มก็อร่อยสุดๆมากๆ กลับกลายเป็นของที่พวกเราไม่ให้ความสนใจเลย (ดื่มแล้วบ้วนทิ้งตลอด)
ถ้านานๆเป็นเดือน ผมได้ดื่มไวน์ระดับนี้สักขวด ผมคงจะรู้สึก ฟินมากๆ และน่าจะ appreciate มันมากกว่าที่จะมาอัดติดๆกันทุกวันแบบนี้ นี่มันคือ The Law Of Diminishing Marginal Utility ง่ายๆนั่นเองครับ ความสุขของคนเรา มันไม่ใช่อยู่ที่การมีแต่สิ่งดีๆ แล้วก็มี แล้วก็มี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆเสมอไป การได้มาแต่ของดีๆ หรือสิ่งดีๆตลอดเวลา พอเคยชินกับการมีมากๆ อยากจะมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีต้องได้เพิ่มๆขึ้นไปอีกไม่มีวันจบสิ้น จนถึงจุดหนึ่งต่อมความสุขมันก็ยิ่งกระตุ้นยากขึ้นๆเรื่อยๆ
ดังนั้น ผมมองว่า ความสุขของคนเรา ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่การบริหาร ของการมีและการไม่มี เราควรจะใช้ชีวิตทุกๆวันให้เรียบง่าย ทานง่ายๆ ใช้จ่ายแต่งกายซื้อของก็พื้นๆ มีความสุขกับสิ่งง่ายๆที่ไม่ต้องหรูหราอะไรตลอดเวลา เพื่อที่เราจะได้ appreciate กับสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิต แม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่ต้องใช้เงินทองอะไรมากมายตลอดเวลา
ส่วนทริปนี้ พวกเรา 8 คน ดื่มไวน์กันเป็นล้านบาท แต่ผมบอกเลยว่า ความสุขที่ผมสุขที่สุดของทริปนี้ กลับไม่ใช่การได้ดื่มไวน์ขวดละแสนกว่าบาท หรือคอนยัค 150 ปี ขวดละ 250,000 ครับ แต่คือการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่สนิทๆกัน และได้ออกไปวิ่งตอนเช้ามืดคนเดียวรอบๆเมืองครับ
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "The Best Things In Life Are Free."
ผมเข้าใจมันเสมอ และยึดมันเป็นปรัชญาในการแสวงหาความสุขให้กับชีวิต ครับ
จากเรื่องราวที่อ่านมานั้นเรียกได้ว่า เป็นข้อคิดที่ดี และ มีประโยชน์ ผ่านการตกผลึกทางความคิด ผ่านประสบการณ์ชีวิตยาวนาน แต่พอ อ่านแล้วไม่เสียเวลาเปล่าแน่นอน
ขอขอบคุณที่มาจาก : Natee Masathienvong
คุณนที มาเสถียรวงศ์ เจ้าของธุรกิจบริษัท ไทม์ ไมดาส จำกัด ตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาโรเลกซ์อันดับหนึ่งในประเทศไทย ได้ออกมาโพสต์ แชร์แนวคิดในเรื่องของการใช้ชีวิต ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า..
Part 1.
ช่วงหลังๆนี้ มีน้องๆ ทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง inbox เข้ามาหาผมหลายคน และมักถามผมเป็นทำนองว่า พี่ทำอะไร "ทำไมชีวิตดี๊ดี ทำอย่างไรถึงจะรวย" "พี่เป็นไอดอลผมเลย" (เพราะแค่ดูว่ารวยเหรอ???) "รถพี่สวยมาก ทำไงถึงจะมีปัญญาซื้อได้สักคันในชีวิตนี้" ฯลฯ นี่คงเป็นผลมาจากงานด้าน luxury retailing ที่ผมทำและงานอดิเรกของผม ทั้งนาฬิกา กล้อง และ รถ vintage Ferrari หลายคัน (ที่ผมสะสมกึ่งลงทุน เป็น passion investment) เลยทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดไปว่า อะไรมันจะดีจะรวยขนาดนั้น
แต่.....คุณเข้าใจผิดไปแล้ว
บางคนถามมาแบบไร้สาระ ผมก็ไม่อยากตอบ แต่บางคนถามเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ผมก็ตอบไปตามความจริง ว่าผมไม่ได้ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จอะไรมากมาย และในความเป็นจริง คนที่รวยมากๆ รวยกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่า มีมากมายในประเทศนี้ ผมถือว่าตัวเองธรรมดามากๆ เพราะหลายๆอย่างก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทำมาให้ ปูทางไว้ให้ บ้างก็เป็นโชค เป็นจังหวะของชีวิต ผมไม่ใช่คนที่เป็นนักธุรกิจอะไรมากมาย ออกจะนิสัยติสท์ๆด้วยซ้ำ คือทำอะไรตาม passion ของตัวเองมากกว่าที่จะเน้นทำเงินหาเงินเยอะๆตลอดเวลา จุดมุ่งหมายในชีวิต ก็คือดำเนินชีวิตที่มีความสุขกายสบายใจ ใช้จ่ายกินเที่ยวตามฐานะแบบพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อ หรือสุรุ่ยสุร่ายจนเกินไป เพราะชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะสุขภาพ หรือ ธุรกิจ มันไม่มีอะไรแน่นอน เงินที่หามาได้ก็ต้องฉลาดใช้ เหลือก็นำไปลงทุนต่อยอด ลงทุนในการศึกษาให้ลูกๆ ลงทุนไปในธุรกิจที่ความเสี่ยงต่ำ เป็น passive income (ไม่ใช่ขายตรง เพราะขายตรงไม่ใช่ passive income) ปัจจุบัน มากกว่า 65%-70% ของเงินทุน ไปลงอยู่กับทรัพย์สินเหล่านี้ ซึ่ง return on investment ต่อปี (ไม่นับ capital gain จาก appreciation) มันก็แค่ 8%-12% โชคดีว่า โครงการเหล่านี้ เราไม่ได้ leverage ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคาร เพราะมัน 100% self funded ถึงแม้จะผลตอบแทนต่ำ แต่มันค่อนข้าง stable และความเสี่ยงและความผันผวนของรายได้ก็ค่อนข้างต่ำ ครับ
ส่วนธุรกิจที่ทำอยู่ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันก็คือธุรกิจนาฬิกา เราทำมานานแล้ว ตอนนี้จะลงทุนเปิดสาขาหนึ่งก็ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 200-300 ล้านบาท การแข่งขันสูง มาร์จิ้นต่ำ กำไรก็นิดเดียว แต่เป็นธุรกิจที่ผมรัก ผูกพัน และภูมิใจครับ
กลับมาเรื่องที่น้องๆถามผมเข้ามา
ผมขออ้างถึงประโยคที่ไม่แน่ใจว่า Jack Ma พูดจริงหรือไม่ ที่บอกว่า "คนเราไม่มีทางรวยจากการอดออม แต่รวยจากการเพิ่มรายได้" ถามว่าจริงไหม จริงที่สุด แต่ไม่ใช่อย่างที่พวกเราส่วนใหญ่อยากจะเข้าใจกันเพื่อมาเป็นเหตุผลในการใช้เงินฟุ่มเฟือยครับ ที่ Jack Ma พูดได้ เพราะเขาไปถึงจุดนั้นแล้ว จะมีกี่คนที่ทำแบบนั้นได้!?? และถ้าหากคุณยังทำธุรกิจเล็กๆ ยังเป็นลูกจ้าง โอกาสมันไม่ใช่มาง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่มีเงินทุนที่อดออมสะสมมาเพื่อไปลงทุนต่อยอดรายได้ ครับ
ผมเกิดในปี คศ. 1964 (พศ. 2507) ยุค baby boomer ปีสุดท้าย (อะไรที่มันสุดท้ายๆ เขานิยมสะสมกันนะครับ 5555) แต่ได้รับคำสอนของพ่อแม่ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในยุคสงคราม ยุคแห่งความยากลำบาก ยุคของความขัดสน (ซึ่งก็เป็นยุคเดียวกับ ในหลวงฯ องค์รัชกาลที่ 9 ซึ่งตอนนี้พอจะเห็นภาพนะครับ ว่าทำไมพระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ทรงเน้นความพอเพียง ดำเนินกิิจวัตรเรียบง่าย ใส่รองเท้าก็ใส่จนเก่า ยาสีฟันก็ใช้จนหมดหลอด ฯลฯ เพราะพระองค์ทรงเข้าใจถึงความยากลำบากของประชาชนในยุคนั้น)
ที่ผมได้รับฟังมาจากพ่อแม่ที่สั่งสอนผมมาตั้งแต่เล็กๆเรื่องเงินก็คือ "หาได้ 100ให้ใช้แค่ 10 ที่เหลือต้องอดออมเอาไปลงทุนต่อยอดรายได้" "ทำอะไรทำให้พอกับกำลังของตัวเอง อย่ากู้เงินธนาคารเพราะดอกเบี้ยไม่เคยนอนหลับ" ฟังดูอาจจะไม่เข้ากับยุคสมัยนี้ ยุคของ Gen Z ที่ใช้จ่ายกันราวกับว่า โลกจะแตกอาทิตย์หน้า คนรุ่นใหม่ๆ มักมี YOLO Spending Attitude ที่ใช้จ่ายเงินกันแบบไม่ต้องคิดถึงวันข้างหน้า ใช่ครับ You only live once ก็จริง แต่ควรจะ live long และ live a good and sustainable life ครับ ชีวิตต้องดีขึ้นเรื่อยๆ มีเหลือ มีเก็บ เผื่อไว้ยามฉุกเฉิน ยามที่สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยามที่เสาหลักของครอบครัวจากไปกระทันหัน ยามที่เกิดเจ็บป่วยแล้วไม่สามารถหารายได้ในระดับเท่าเดิมได้อีก
ครอบครัวผม ก็เคยยากจนมาก่อน ผมเกิดและโตทันช่วงเวลานั้น แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร ยังจำเสื้อที่แม่เย็บมาจากเศษผ้าให้ลูกๆใส่ได้ ยังจำการนั่งล้อมวงทานข้าวกับพื้นเอากล่องกระดาษมาคว่ำทำเป็นโต๊ะได้ ยังจำโทรทัศน์ขาวดำที่พ่อเก็บมาจากกองขยะเอามาซ่อมเองให้พวกเราดูได้ (คุณพ่อเคยเป็นช่างไฟฟ้า) ดูไปต้องตบไป เพราะภาพมันล้มตลอด
ถ้าเงินคุณมาเร็ว หาได้ก็เลี้ยงเพื่อน เลี้ยงสาว ทิปเด็ก กินหรู เที่ยวแพงตลอด เงินหมด เพื่อนกิน+น้องรัก ก็จะค่อยๆทยอยหายกันไปทีละคนสองคน มันเป็นธรรมชาติครับ ไม่เชื่อคอยดูกันไปครับ แต่จะว่าไปก็ไม่ผิดนะครับ เอาที่สบายใจ ถ้าคุณสามารถ maintain income ในการรักษา lifestyle แบบนี้ไปได้เรื่อยๆก็นับว่าคุณโชคดี
แต่อย่างที่บอก ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอน อย่าไปตามอย่างคนอื่นบนโลก social media เพราะคุณไม่มีทางรู้ด้านอื่นของชีวิตเขา คุณไม่รู้ว่าคุณกำลัง "ขี้ตามช้าง" อยู่หรือไม่
ถ้าอยากมีอนาคต มีชีวิตที่มั่นคง ถ้ายังมีไม่มาก ก็ต้องรู้จักฉลาดใช้เงิน แน่นอน หาเงินมาได้ ก็ต้องใช้เงินหาความสุขใส่ตัวบ้าง ไม่งั้นจะหามาทำไม แต่ความสุขเรายังต้องหัดบริหารมันให้เป็นเลยครับ ไม่งั้นมีเงินเท่าไรก็ไม่พอใช้ครับ
เอ้า ให้ผมยกตัวอย่างอะไรอย่างหนึ่งที่เห็นง่ายๆชัดๆ ตามภาพประกอบนี้แล้วกัน ที่ผมเขียน caption แบบนี้ "I always fly first class...when it is free of charge." ก็เพียงแค่อยากจะบอกว่า สำหรับคนฐานะแบบผม ถ้าไม่ใช่แลกไมล์ หรือ บริษัท ตปท จ่ายให้ ผมยังเจียมเนื้อเจียมตัว บิน economy ครับ ลำบากนิดเดียว save ไป 60,000-150,000 เอาไปกินอาหารดีๆอร่อยๆ (ที่ไม่จำเป็นต้องติดดาว) เอาเงินไปนอนโรงแรมที่ location ดีๆ ห้องพักดีๆ วิวสวยๆ ได้ตั้งหลายคืน พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงน้องๆหลายๆคน ที่บ่นว่าบินไปญี่ปุ่นแค่ 6 ชั่วโมง ทนนั่ง economy ไม่ได้ (สังเกตุมาเริ่มเป็นกันตั้งแต่ไอ้ยุค show off กันบน facebook นี่แหละ) ผมคิดว่าถ้าได้ตั๋วสายการบินแขกถูกๆช่วง promotion หรือแลกไมล์ ก็ว่าไปอย่าง หรือไม่คุณก็ต้องมีฐานะเหลือๆ จริงๆ แต่บ่อยครั้งที่ผมดูฐานะคนที่เคยพูดแบบนี้ หลายๆคน ฐานะก็ยังไม่มั่นคงอะไร บางคนก็ยังมีรายได้ไม่แน่นอนแทบจะเลี้ยงดูตัวเองจริงจังมิได้ อายุก็ยังน้อย ร่างกายแข็งแรง แถมบางคนก็เป็นผู้หญิง ตัวเล็กนิดเดียว เล็กกว่าผมตั้งเยอะ แต่บอกว่า "ไม่ไหวหรอก นั่งไม่ได้ ทรมาน" (มองบน) อืมย์ ผมอายุ 52 ฐานะแบบนี้ (ผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่ก็มีพอสมควร) ผมยังบิน economy 21 ชั่วโมงไปสหรัฐอเมริกา ได้สบายๆ ผมเห็นเพื่อนบางคน มีเป็นหมื่นๆล้าน ก็ยังบิน economy ได้ จะว่าเขางกก็แล้วแต่จะมอง แต่ก็นั่นแหละ คนเราคิดไม่เหมือนกัน ก็แล้วแต่จะชอบครับ เอาที่สบายใจ เงินใครก็เงินเขา แต่ก็อยากจะบอกว่า ถ้าต้องการมีอนาคตที่มั่นคง ไม่ลำบาก หรืออยากจะมี dream car dream house หรือว่าจะ dream อะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องหัดอดออมตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่จะเอาหรูไปหมดเสียทุกอย่าง ต้องรู้จักใช้เงิน รู้จักนำไปลงทุนเพื่อการต่อยอดทางธุรกิจครับ ยกเว้นว่าคุณบังเอิญไปอยู่ในธุรกิจหรืองานอะไรที่เงินมันมาง่ายมาเร็ว ก็ว่ากันไปครับ
ภาษาอังกฤษ มีคำว่า Rich is what a rich does. มันคือแค่เปลือกของความหมายครับ ถ้าไม่แปลให้ดี จะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัว หนี้สินล้น ครับ คือต้องเลือกเอาระหว่าง "ดูรวย" หรือ "รวยจริง"
ผมอยากบอกเลยว่า คุณไม่มีทางรวยจากการทำตัวใช้จ่ายเหมือนคนรวย แต่ต้องคิดหาเงินและลงทุนตามแนวคิดของคนที่รวยขึ้นมาจากความจนต่างหากครับ (ไม่ใช่คนที่เกิดมารวยอยู่แล้ว)
Happy Monday ขอให้สนุกกับการทำงานหาเงิน รถติดตลอดชีวิต ในเมืองเส็งเคร็งชื่อกรุงเทพมหานครฯ แห่งนี้ครับ
Part 2.
วันนี้อยากพูดเรื่องความพอเพียง
ถ้าคุณมี financial resources ค่อนข้างไม่จำกัด แน่นอน คุณจะใช้จ่ายอะไรอย่างไรก็ได้ ก็ถือว่าคุณเก่ง มีความสามารถหาเงินได้มาก หรือไม่ก็โชคดีที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่บรรพบุรุษทำไว้ให้
แต่ถ้าคุณเป็นเหมือนผม ที่มีจำกัด ยังต้องขยันทำงาน หาเงินตัวเป็นเกลียว ยังมีภาระทางการเงิน (แต่ก็พอมีแบ่งสันปันส่วนไว้เพื่อที่จะ enjoy life ได้บ้าง) คุณก็ต้องเลือกเอาว่าจะใช้เงินที่คุณมีอยู่ไปกับอะไรที่ให้ความสุขกับคุณมากกว่า หรือเป็นการลงทุนกับชีวิตที่ดีกว่า
บางคนเลือกที่จะใช้เงินไปกับประสบการณ์ชีวิต กินอาหารแพงๆ ติดดาว มิเชลิน บิน Business/First Class เลือกพักแต่ luxury hotels
ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะซื้อของหรูหรา brandnames กระเป๋ารองเท้าเสื้อผ้า หรือหมดไปกับความสวยความงาม (ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ทำกำไรมหาศาลจริงๆ แต่ it is a fact ว่ามันไม่มีอะไรวิเศษไปกว่า การพักผ่อนเพียงพอ ไม่เครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทานอาหารให้ครบหมู่ จริงๆนะ! )
แต่ผู้ชายส่วนใหญ่จะชอบของที่มีคุณภาพสูงๆ ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา เครื่องเสียง กล้อง ปืน รถ เรือ หรือสินค้า hi end ต่างๆที่มี precision สูงๆ เป็น state of the art design/engineering หรือของสะสมที่เป็น passion investment มากกว่า
จะชอบแบบไหน จะ balance ระหว่างการใช้จ่ายไปกับสิ่งของ หรือกับ ประสบการณ์และความสะดวกสบาย ก็ต้องเลือกเอา สิ่งเหล่านี้เป็น fine things in life ที่จะว่าไป ก็นอกเหนือจากความจำเป็นในการดำรงชีวิตทั้งนั้น และมันก็ไม่จำเป็นต้องมี เพิ่อที่จะมีความสุข ถ้าเรามองโลกเป็น เข้าใจสังคม เข้าใจธรรมชาติของกิเลส ถ้าเรารู้จักบริหารความสุขให้กับตัวเอง
แต่ที่สำคัญ Do not live somebody's else life มันไม่จำเป็น หรืออาจจะไม่ฉลาดเท่าไรที่จะวิ่งตามหรือเพ้อฝันกับ lavish lifestyle ของคนอื่นที่คุณเห็นๆกันบน Facebook หรือ Instagram เพราะนั่นเป็นแค่เสี้ยวเดียวของชีวิตคนอื่น อย่าพยายามมากเกินไปที่จะใช้ชีวิตแบบที่ตัวคุณเองไม่สามารถ afford ได้เอง เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการก่อหนี้ การหวังรวยทางลัด มองแต่จะหาวิธีรวยเร็ว ทำให้หมดความมานะบากบั่นในหน้าที่การงานที่ดูเหมือนว่ามันทำให้รวยไม่ทันใจ บ่อยครั้งมันนำไปสู่การทำธุรกิจที่ผิดกฏหมาย การพนัน การโกง การยักยอกทรัพย์ (ผมเพิ่งโดน พนง เลวๆโกงไปเกือบ 10 ล้านบาท) บางคนต้องขายตัว ขายวิญญาณ เลือกที่จะเป็นเด็กเสี่ย เป็นเมียน้อย นำไปสู่ชีวิตที่ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี และไม่มีคุณค่าในตัวเอง และถึงจุดนั้น สิ่งอื่นๆที่คุณพยายามไขว่คว้ามา ผมมองว่ามันก็ไม่มีความหมายอะไร
เงิน หาเท่าไรก็ไม่มีวันหมด
และหาเท่าไรก็ไม่มีวันพอใช้ ถ้าเราไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักค่าของเงิน ไม่รู้จักวิธีใช้เงิน
สิ่งที่ในหลวงฯดำรัสเรื่อง ความพอเพียง ช่างเป็นสิ่งที่เหมาะสมและควรเป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนไทยในยุคที่การ show off บน social media เฟื่องฟูเป็นอย่างยิ่งครับรวย-2
Part 3.
ผมเป็นคนประหยัด.....ไม่ฟุ่มเฟือย
คนที่ไม่รู้จักผม อาจจะฟังแล้วบอกว่า น่าหมั่นไส้ แต่นี่ผมพูดเรื่องจริงครับ เวลาผมซื้อของ ผมเน้นความคุ้มค่า ไม่เน้นราคา ผมจ่ายแพงได้ แต่ต้องไม่ waste ผมไม่ยอมจ่ายเงินไปกับของจุกจิกที่ ไร้ค่า ซื้อมาเก็บไว้ก็รกบ้าน ขายต่อก็ไม่มีราคา ไม่มีคนเอา เก็บไว้ก็ไม่ภูมิใจ (เช่นของ souvenirs เวลาไปเที่ยวทั้งหลาย)
เวลาผมจะซื้ออะไร ราคาสูงๆ ผมไม่ค่อยคิดเรื่องจำนวนเงิน (ถ้าผมมีเงินพอ) แต่ผมจะดูว่า ของสิ่งนั้นมันเป็น assets หรือ expenses เสมอ (บางคนบอกว่าผมคิดมากไปไหม ไม่นะ ผมไม่รู้สึกว่าต้องคิดมากอะไร คิดเรื่องแบบนี้ดีกว่าไปคิดเรื่องรกสมองของคนอื่นอีกมากมาย)
ผมจะพิจารณาเสมอว่า ถ้าเป็น assets ถึงเวลาไม่ชอบ ขายต่อง่ายหรือไม่ เก็บไว้มี appreciation ใน value หรือไม่ หลายๆคนจะคิดว่า ผมเวลาชอบอะไร ก็จะบ้าแล้วยอมจ่าย ยอมซื้อ ใช้เงินเหมือนไม่ได้คิด เอาแต่ใจ ก็อยากจะบอกว่า ที่จริงผมคิดดีก่อนทุกครั้ง และบางทีเมื่อโอกาสมา เราต้องรีบคว้าไว้ เพราะของดีมันอยู่ไม่นาน มันก็ต้องเสี่ยงกันบ้าง ตัดสินใจเร็วบ้าง ของแบบนี้บางทีมันเป็น gut feelings และผมเป็นคนที่มักได้ของดีๆในราคาไม่แพงเกินไป
แต่ถ้าเป็น expenses ผมเป็นคนใช้เงิน ใช้ของ ต้องคุ้มค่า ของดี ราคาสูงใช้ได้นาน ใช้ได้ทน ผมยอมจ่าย ดีกว่าใช้ของราคาถูกแล้ว คุณภาพต่ำ แล้วต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น หลอดไฟทำจากเยอรมัน สมัยก่อนใช้ได้ 4 ปี ราคา 250 บาท แต่หลอดคุณภาพต่ำจากจีน หลอดละ 50 บาทใช้ได้แค่ 3 เดือนขาด ผมเลือกหลอดเยอรมัน (ของจีนคุณภาพสูงก็มี) มาคิดๆดู ของคุณภาพต่ำเหล่านี้ ใช้ปริมาณวัตถุดิบที่ขุดขึ้นมาจากธรรมชาติในปริมาณต่างกันไม่มาก สิ้นเปลืองพลังงานในการผลิตต่างกันไม่มาก แต่ความพิถีพิถันในการออกแบบ กรรมวิธีในการผลิต การออกแบบทางวิศวกรรมมันต่างกัน ก็ทำให้คุณภาพ และคุณค่าของสิ่งของต่างกัน ของพังเร็วก็กลายเป็นขยะบนโลกใบนี้เต็มไปหมด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีโอกาสถูกนำกลับมา recycled ได้อีก น่าเสียดาย....
อ่อๆ พอดีเมื่อกี้ อ่านเจอโพสต์ของเพื่อนรุ่นน้อง ที่พูดเกี่ยวกับการกินอาหารพื้นๆราคาไม่แพง (แต่ขับรถคันละ 10 กว่าล้าน) ก็เลยนึกถึงเรื่องการบริหารเงิน บริหารความสุข ด้วยอีกเรื่องหนึ่ง ก็เลยขอ tie in เข้ามาพูดตรงนี้เลย
จะบอกว่า ในมุมมองของผม คนที่มีความสุขกับการกินก๋วยเตี๋ยว 30 บาท ข้างถนนได้ แต่ก็ขับรถคันละ 10 กว่าล้าน มันไม่ได้แปลกอะไรเลย เขาเรียกว่าคนที่บริหารความสุขเป็น
(ขอก๋วยเตี๋ยวร้อนๆอร่อยๆนะ) ของทุกอย่างในชีวิต ไม่จำเป็นต้องหรูหราเสมอไป อาหารแพงๆ กินบ่อยๆก็ใช่ว่าจะไม่เบื่อ แต่ข้าวแกงก๋วยเตี๋ยว เรากลับกินได้ทุกวัน ไม่มีเบื่อ
บางคนก็กินญี่ปุ่นแพงๆทุกมื้อ (ถ้ามีความสุขก็กินไป) แต่ถ้าเราใช้เงินแบบเบี้ยหัวแตก ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย อะไรก็ต้องหรูดูดีไปหมด แต่ก็บ่นว่าเมื่อไรจะมีรถ supercar ขับ แล้วก็ขับแค่ BMW ขับ Benz ต่อไป ก็เลือกกันเอง เอาที่สบายใจ แค่ไม่ใช่ทางผม
อยากจะบอกว่า ซื้อเบนซ์ใหม่ๆ 1 คัน ใช้ไป 5 ปี ขาดทุนเยอะกว่า ซื้อ Ferrari มือสอง 1 คัน รวมค่า maintenance ด้วยครับ (ที่จริง Ferrari ไม่ขาดทุน แต่กำไรด้วยครับ) ขับในเมืองทุกวัน ผมยังใช้ Honda Accord ปี 2003 ที่เก่าๆแต่ขับสบาย reliable สตาร์ทติดทุกครั้ง เครื่องเดินเรียบ นั่งสบาย แอร์เย็น คือส่วนใหญ่ ผมชอบอยู่แบบชาวบ้านๆพื้นๆธรรมดาๆเรียบๆง่ายๆ ขับไปไหน จอดที่ไหน ก็ได้นะ แบบนั้นดีกว่า สบายใจดี (อยากสารภาพว่า เวลาไปจอด supercar พนักงานที่น่ารักชอบมารอเปิดปิดประตูให้ เรากลับอึดอัด เกรงใจ และรู้สึกว่าตัวเองสำคัญเกินพอดี แต่จะว่าไป พารากอนมันก็หาที่จอดรถยากจริงๆ ได้จอดตรง supercar หรือ Platinum Scarlet มันก็เป็น privilege ที่ผม enjoy นะ)
คุยเรื่องการใช้จ่ายกันต่อ...
ถ้าเรารู้จักใช้เงินให้คุ้มค่า มีความสุขกับอะไรที่มันเรียบๆง่ายๆได้ ไม่ต้องแพงเสมอไป มองสิ่งต่างๆให้ออก ว่าอะไรคือเปลือก อะไรคือแก่นแท้ ประหยัดบางด้าน เพื่อสามารถ enjoy อีกด้าน หรือ อีกระดับของชีวิต คือการบริหารเงิน บริหารความสุข ที่แต่ละคนต้องไปเลือกกันเอาเองว่าชอบแบบไหน
ภาพวาด เครื่องประดับ เพชรนิลจินดา บ้าน กระเป๋า นาฬิกา เลนส์กล้อง หรือแม้แต่ รถ ที่ใครๆมักเหยียดว่ามีแต่ "ลด" ที่จริงมันคือ การลงทุนที่คุ้มค่า หากเรารู้จักเลือกซื้อเลือกใช้ ครับ
Part 4.
Firenze-Como-Milan-Bordeaux-Paris
เมื่อปลายปี 2015 ผมได้มีโอกาสไปทริปดื่มไวน์กับเพื่อนๆที่อิตาลี และ ฝรั่งเศส ก็เลยได้ข้อคิดบางอย่าง มาคุยให้ฟังกันครับ
ทริปนี้ ขอบอกเลยว่า "We had too much of fine things." จริงๆครับ
และทำให้ผมนึกถึงปรัชญาในการหาความสุขให้ชีวิต ตามคำกล่าวที่ว่า
"เมื่อมีความมืด จึงรู้จักความสว่าง"
"เมื่อมีความทุกข์ เราจึงรู้จักความสุข"
"เมื่อเรามีความขัดสน เราจึงรู้จักความพอเพียง"
(เมื่อมีของไม่อร่อย เราจึงชื่นชมของอร่อย)
อ่านแล้วอย่าเพิ่ง งง ครับ
ผมดื่มไปก็คิดไป ทริปนี้ เราเหลือไวน์ Mouton ปีดีๆที่เปิดแล้วเป็นขวดๆ ทิ้งไว้ใน Decanter พวกเราบ้วน Margaux ปีใหม่ๆ ทิ้ง และ ไม่มีการขอเติม Cheval Blanc 1978 ที่ทาง Chateau ตั้งใจเปิดให้พวกเราแบบไม่อั้น ส่วนไวน์ดีๆอีกหลายๆ Chateau ที่พวกเราได้มีโอกาสไปเยี่ยม ซึ่งปกติตอนอยู่เมืองไทยดื่มก็อร่อยสุดๆมากๆ กลับกลายเป็นของที่พวกเราไม่ให้ความสนใจเลย (ดื่มแล้วบ้วนทิ้งตลอด)
ถ้านานๆเป็นเดือน ผมได้ดื่มไวน์ระดับนี้สักขวด ผมคงจะรู้สึก ฟินมากๆ และน่าจะ appreciate มันมากกว่าที่จะมาอัดติดๆกันทุกวันแบบนี้ นี่มันคือ The Law Of Diminishing Marginal Utility ง่ายๆนั่นเองครับ ความสุขของคนเรา มันไม่ใช่อยู่ที่การมีแต่สิ่งดีๆ แล้วก็มี แล้วก็มี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆเสมอไป การได้มาแต่ของดีๆ หรือสิ่งดีๆตลอดเวลา พอเคยชินกับการมีมากๆ อยากจะมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีต้องได้เพิ่มๆขึ้นไปอีกไม่มีวันจบสิ้น จนถึงจุดหนึ่งต่อมความสุขมันก็ยิ่งกระตุ้นยากขึ้นๆเรื่อยๆ
ดังนั้น ผมมองว่า ความสุขของคนเรา ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่การบริหาร ของการมีและการไม่มี เราควรจะใช้ชีวิตทุกๆวันให้เรียบง่าย ทานง่ายๆ ใช้จ่ายแต่งกายซื้อของก็พื้นๆ มีความสุขกับสิ่งง่ายๆที่ไม่ต้องหรูหราอะไรตลอดเวลา เพื่อที่เราจะได้ appreciate กับสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิต แม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่ต้องใช้เงินทองอะไรมากมายตลอดเวลา
ส่วนทริปนี้ พวกเรา 8 คน ดื่มไวน์กันเป็นล้านบาท แต่ผมบอกเลยว่า ความสุขที่ผมสุขที่สุดของทริปนี้ กลับไม่ใช่การได้ดื่มไวน์ขวดละแสนกว่าบาท หรือคอนยัค 150 ปี ขวดละ 250,000 ครับ แต่คือการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่สนิทๆกัน และได้ออกไปวิ่งตอนเช้ามืดคนเดียวรอบๆเมืองครับ
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "The Best Things In Life Are Free."
ผมเข้าใจมันเสมอ และยึดมันเป็นปรัชญาในการแสวงหาความสุขให้กับชีวิต ครับ
จากเรื่องราวที่อ่านมานั้นเรียกได้ว่า เป็นข้อคิดที่ดี และ มีประโยชน์ ผ่านการตกผลึกทางความคิด ผ่านประสบการณ์ชีวิตยาวนาน แต่พอ อ่านแล้วไม่เสียเวลาเปล่าแน่นอน
ขอขอบคุณที่มาจาก : Natee Masathienvong