“ตำรานรลักษณ์” สาวมี “ไฝใต้นม-ที่ลับ” ควรค่าแก่การที่ชายจะเอาเป็นเมีย?!
ตำราดูลักษณะคนมีอยู่แพร่หลายไปทั่วทั้งตะวันตกและตะวันออก แต่ตอนนี้ศาสตร์ที่ว่านี้ในตะวันตกได้ถูกมองว่าเป็น “วิทยาศาสตร์เทียม” และไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป ขณะที่ในตะวันออกวิชาดูลักษณะยังคงได้รับความนิยมอยู่
ที่ยังคงแพร่หลายในยุคนี้ก็คือวิชาดูโหงวเฮ้งของจีน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างมากในเมืองไทย ขนาดที่ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ๆ ยังต้องจ้างซินแสมาให้คำปรึกษาในการคัดคนเข้าทำงานด้วย
ของไทยเองก็มีศาสตร์ทำนองนี้เหมือนกัน ซึ่งผู้เขียนต้องยอมรับว่า “ไม่รู้” ว่าไทยเราไปรับเอามาจากข้างไหน (หรือคิดค้นขึ้นเอง, มิตรรักผู้อ่านมีความรู้ก็ฝากแบ่งปันผ่านโซเชียลกันมาได้นะครับ) ตำราที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงคือตำราที่ชื่อว่า “นรลักษณ์” หรือลักษณะของนารี ที่เคยถูกนำมาตีพิมพ์ใน “บานไม่รู้โรย” ฉบับ กรกฎาคม 2528 ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงเท่าใดนัก แต่ผู้เขียนก็อยากยกมาให้ท่านผู้อ่านได้ลองดูว่าคุณลักษณะที่ถูกอ้างถึงเหล่านี้ จะทำให้ผู้หญิงมีพฤติกรรมตรงตามที่เขาว่าหรือไม่ เช่น
1. หญิงใดมีหนวดเครา และมีขนหน้าแข้งเหมือนผู้ชาย เป็นหญิงอัปลักษณ์ ชอบทำลายทรัพย์สมบัติของผัว หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
2. หญิงใดมีสะโพกเอียง หรือเวลาเดินไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นหญิงอัปลักษณ์ หาผัวยาก หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
3. หญิงใดที่แก้มมีลักยิ้มบุ๋มทั้งสองข้าง เป็นหญิงหลายใจ รักง่ายหน่ายเร็ว หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
4. หญิงใดชอบนอนคว่ำนอนหงายเป็นประจำ เป็นหญิงที่ชอบนอกใจผัวไม่น่าไว้วางใจ หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
5. หญิงใดมีหลังมือหลังเท้านูนเหมือนหลังเต่า และมีนิ้วมือชิดสนิทกัน เป็นหญิงเจ้าทรัพย์ ใครได้เป็นเมียจะมีแต่ความสุขความเจริญ หญิงเช่นนี้ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
6. หญิงใดมีปานดำที่ฝ่ามือ หน้าอก และในที่ลับ หรือปานแดง ไฝแดง ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เป็นหญิงที่มั่งมีด้วยทรัพย์สมบัติ หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
7. หญิงใดมีไฝที่ของลับหรือในที่ลับ เป็นหญิงมีชื่อเสียง มียศฐาบรรดาศักดิ์ หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
8. หญิงใดมีไฝที่ใต้นม เป็นหญิงมีเสน่ห์มีคนรักใคร่ มีโชคลาภเป็นประจำ หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
9. หญิงใดมีไฝที่หูข้างขวา เป็นหญิงที่มีจิตใจอารี เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาไปเป็นเมีย
10. หญิงใดมีไฝที่ขมับข้างขวาเป็นหญิงที่มีใจรวนเร ชอบนอกใจผัวหญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
11. หญิงใดมีไฝที่ลูกกระเดือกเป็นหญิงที่มีใจอำมหิตโหดร้าย หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
12. หญิงใดมีไฝที่ริมฝีปากล่างเป็นหญิงอาภัพ พึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ต้องช่วยตัวของตัวเอง หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
13. หญิงใดมีไฝที่ริมฝีปากบนเป็นหญิงที่ชอบเล่นชู้ มีผัวบ่อยๆ หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
14. หญิงใดมีไฝที่ดั้งจมูกเป็นหญิงที่หงุดหงิดง่าย โกรธ่าย เอาแต่ใจตัวเอง หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
15. หญิงใดมีไฝที่หน้าผาก หรือระหว่างคิ้ว เป็นหญิงอาภัพ ลูกและผัวมักจะตายจากกัน หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตำราดูสาวแบบไทยๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า ข้อสรุปดังกล่าวได้มาจากการเก็บสถิติ หรือนั่งทางใน เพราะมิได้มีการอธิบายที่มาที่ไปเป็นที่ชัดแจ้ง แต่ได้ตัดสินสาวๆ จากรูปลักษณ์เพียงภายนอกออกเป็น ดี-เลว ไปแล้ว
ใครเที่กิดมาโชคดีมีลักษณะดีๆ (ตามตำราเขาว่า) ก็ดีไป แต่ใครได้ในทางไม่ดีก็คงต้องเดือดร้อน หากเชื่อก็คงต้องเสียสะตุ้งสะตัง ไปเอาไอ้นู่นเข้าไอ้นี่ออกกันอีก ยังดีที่ความเชื่อ “ทำนองนี้” ค่อยๆ หมดความเชื่อถือไปแล้วในยุคปัจจุบัน (แม้จะยังเหลืออยู่บ้างในหมู่ผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆ ก็ตาม)
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: Silpa-mag
ตำราดูลักษณะคนมีอยู่แพร่หลายไปทั่วทั้งตะวันตกและตะวันออก แต่ตอนนี้ศาสตร์ที่ว่านี้ในตะวันตกได้ถูกมองว่าเป็น “วิทยาศาสตร์เทียม” และไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป ขณะที่ในตะวันออกวิชาดูลักษณะยังคงได้รับความนิยมอยู่
ที่ยังคงแพร่หลายในยุคนี้ก็คือวิชาดูโหงวเฮ้งของจีน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างมากในเมืองไทย ขนาดที่ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ๆ ยังต้องจ้างซินแสมาให้คำปรึกษาในการคัดคนเข้าทำงานด้วย
ของไทยเองก็มีศาสตร์ทำนองนี้เหมือนกัน ซึ่งผู้เขียนต้องยอมรับว่า “ไม่รู้” ว่าไทยเราไปรับเอามาจากข้างไหน (หรือคิดค้นขึ้นเอง, มิตรรักผู้อ่านมีความรู้ก็ฝากแบ่งปันผ่านโซเชียลกันมาได้นะครับ) ตำราที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงคือตำราที่ชื่อว่า “นรลักษณ์” หรือลักษณะของนารี ที่เคยถูกนำมาตีพิมพ์ใน “บานไม่รู้โรย” ฉบับ กรกฎาคม 2528 ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงเท่าใดนัก แต่ผู้เขียนก็อยากยกมาให้ท่านผู้อ่านได้ลองดูว่าคุณลักษณะที่ถูกอ้างถึงเหล่านี้ จะทำให้ผู้หญิงมีพฤติกรรมตรงตามที่เขาว่าหรือไม่ เช่น
1. หญิงใดมีหนวดเครา และมีขนหน้าแข้งเหมือนผู้ชาย เป็นหญิงอัปลักษณ์ ชอบทำลายทรัพย์สมบัติของผัว หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
2. หญิงใดมีสะโพกเอียง หรือเวลาเดินไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นหญิงอัปลักษณ์ หาผัวยาก หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
3. หญิงใดที่แก้มมีลักยิ้มบุ๋มทั้งสองข้าง เป็นหญิงหลายใจ รักง่ายหน่ายเร็ว หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
4. หญิงใดชอบนอนคว่ำนอนหงายเป็นประจำ เป็นหญิงที่ชอบนอกใจผัวไม่น่าไว้วางใจ หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
5. หญิงใดมีหลังมือหลังเท้านูนเหมือนหลังเต่า และมีนิ้วมือชิดสนิทกัน เป็นหญิงเจ้าทรัพย์ ใครได้เป็นเมียจะมีแต่ความสุขความเจริญ หญิงเช่นนี้ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
6. หญิงใดมีปานดำที่ฝ่ามือ หน้าอก และในที่ลับ หรือปานแดง ไฝแดง ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เป็นหญิงที่มั่งมีด้วยทรัพย์สมบัติ หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
7. หญิงใดมีไฝที่ของลับหรือในที่ลับ เป็นหญิงมีชื่อเสียง มียศฐาบรรดาศักดิ์ หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
8. หญิงใดมีไฝที่ใต้นม เป็นหญิงมีเสน่ห์มีคนรักใคร่ มีโชคลาภเป็นประจำ หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
9. หญิงใดมีไฝที่หูข้างขวา เป็นหญิงที่มีจิตใจอารี เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป หญิงเช่นนี้สมควรที่ชายจะเอาไปเป็นเมีย
10. หญิงใดมีไฝที่ขมับข้างขวาเป็นหญิงที่มีใจรวนเร ชอบนอกใจผัวหญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
11. หญิงใดมีไฝที่ลูกกระเดือกเป็นหญิงที่มีใจอำมหิตโหดร้าย หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
12. หญิงใดมีไฝที่ริมฝีปากล่างเป็นหญิงอาภัพ พึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ต้องช่วยตัวของตัวเอง หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
13. หญิงใดมีไฝที่ริมฝีปากบนเป็นหญิงที่ชอบเล่นชู้ มีผัวบ่อยๆ หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
14. หญิงใดมีไฝที่ดั้งจมูกเป็นหญิงที่หงุดหงิดง่าย โกรธ่าย เอาแต่ใจตัวเอง หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
15. หญิงใดมีไฝที่หน้าผาก หรือระหว่างคิ้ว เป็นหญิงอาภัพ ลูกและผัวมักจะตายจากกัน หญิงเช่นนี้ไม่ควรที่ชายจะเอาเป็นเมีย
นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตำราดูสาวแบบไทยๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า ข้อสรุปดังกล่าวได้มาจากการเก็บสถิติ หรือนั่งทางใน เพราะมิได้มีการอธิบายที่มาที่ไปเป็นที่ชัดแจ้ง แต่ได้ตัดสินสาวๆ จากรูปลักษณ์เพียงภายนอกออกเป็น ดี-เลว ไปแล้ว
ใครเที่กิดมาโชคดีมีลักษณะดีๆ (ตามตำราเขาว่า) ก็ดีไป แต่ใครได้ในทางไม่ดีก็คงต้องเดือดร้อน หากเชื่อก็คงต้องเสียสะตุ้งสะตัง ไปเอาไอ้นู่นเข้าไอ้นี่ออกกันอีก ยังดีที่ความเชื่อ “ทำนองนี้” ค่อยๆ หมดความเชื่อถือไปแล้วในยุคปัจจุบัน (แม้จะยังเหลืออยู่บ้างในหมู่ผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆ ก็ตาม)
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: Silpa-mag