อ่านให้จบนะ..แล้วจำไว้ “ว่าอย่าไปดูถูกใคร” ไม่ว่ารวยหรือจน ทุกคนล้วนต้องการศักดิ์ศรีเหมือนกัน

“ไม่ว่ารวยหรือจน ทุกคนล้วนต้องการศักดิ์ศรีเหมือนกัน”

ฉันเป็นครูมัธยมของโรงเรียนดังประจำมณฑล พักอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนพร้อมสามี

วันนี้มีนักเรียนหญิงพาผู้ปกครองมาเยี่ยม

พ่อเขาอุตส่าห์ถีบรถจักรยานระยะทาง 40 กม. จากบ้านมาเยี่ยมลูกสาวซึ่งเป็นนักเรียนประจำ

“ก็เลยถือโอกาสมาสวัสดีคุณครูด้วยครับ” พ่อเขากล่าวด้วยความสุภาพ

“บ้านนอกก็ไม่มีอะไรจะมาฝาก มีแต่ไข่ไก่สดๆมาฝากคุณครูครับ”

พอแกะห่อผ้าที่ประคองมาอย่างทะนุถนอมออก ในห่อผ้ามีแกลบรองรับไข่ไก่อยู่สิบกว่าฟอง มองดูก็รับรู้ได้ว่า ตั้งใจห่อหุ้มมาอย่างระมัดระวัง คงเพราะกลัวไข่ไก่จะแตก ฉันน้อมรับด้วยความขอบคุณ

ฉันบอกว่ากำลังจะห่อเกี๊ยวทานกัน ก็เลยชวนอยู่ช่วยกันห่อเกี๊ยวแล้วทานมื้อเที่ยงด้วยกัน พ่อลูกตกใจรีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ฉันเลยต้องขอร้องให้อยู่ตามคำเชิญชวน

ตอนทานเกี๊ยวด้วยกัน ทั้งคู่ก็ยังเคอะเขินและเรียบร้อย แต่ดูรู้ว่าดีอกดีใจเป็นปลื้มมาก

หลังจากทั้งคู่กลับไปแล้ว สามีแสดงสีหน้าประหลาดใจ ปกติฉันมักจะปฏิเสธไม่ค่อยยอมรับของฝากจากใครๆแบบง่ายๆ แต่วันนี้มาแปลก ถูกสยบด้วยไข่ไก่สิบกว่าฟอง ซ้ำยังเชิญชวนให้อยู่ทานเกี๊ยวด้วยกัน

มองดูแววตาที่ฉงนของสามี ฉันได้แต่ยิ้ม แล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนให้ฟัง

ตอนฉันอายุ 10 ขวบ จีนยุคนั้นยังถือว่าอยู่ในยุคขัดสน มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อมีธุระด่วนต้องโทรศัพท์ไปหาคุณลุงที่อยู่ต่างถิ่น สมัยนั้นโทรศัพท์เป็นของหายาก ไปรษณีย์หมู่บ้านแทบจะเป็นที่เดียวที่สามารถใช้บริการนี้ได้

ตอนนั้นมันมืดแล้ว พ่อลูกต้องเดินไปในความมืด ไปรษณีย์อยู่ห่างจากบ้านเราประมาณ 5 กม.

บนบ่าฉันแบกลูกสาลี่ที่เพิ่งเด็ดลงมาจากต้นมา 7 ลูก นั่นเป็นต้นสาลี่ที่พ่อตั้งใจปลูกมาเป็นเวลา 5 ปีเต็ม และปีนั้นเป็นปีแรกที่มีลูกสาลี่ติดอยู่ 7 ลูก

น้องสาวฉันรดน้ำต้นสาลี่ทุกวัน รอวันรอคืนให้มันออกลูก และแล้วสาลี่ทั้ง 7 ลูกก็ถูกเด็ดลงมาในชั่วพริบตา น้องสาวฉันตาแดงกล่ำร้องไห้ทันทีโวยวายเป็นการใหญ่เมื่อรู้ว่าจะเอาไปฝากคนอื่น พ่อตวาดเสียงดังปรามไปว่า

“มีธุระต้องไปไหว้วานเขา จะไปมือไม้เปล่าได้ไง”

ไปรษณีย์ปิดทำการไปแล้ว เจ้าหน้าที่เป็นญาติห่างๆมีศักดิ์เป็นคุณอาฉัน ตอนเข้าไปในบ้านเขา ครอบครัวเขากำลังกินข้าวอยู่ พ่อบอกวัตถุประสงค์ที่จำต้องมารบกวน คุณอาแค่พยักหน้า ไม่พูดอะไร ไม่เชื้อเชิญให้นั่ง

ฉันกับพ่อยืนรออยู่ที่ประตู เสื้อผ้าเก่าๆของเราพ่อลูกดูหมองไปถนัดตาภายใต้แสงไฟที่สว่างในบ้าน รอจนเขาค่อยๆกินข้าวอย่างใจเย็นจนเสร็จ

“เอาเบอร์โทรมา รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวจะลองโทรให้” ท่าทางยะโส น้ำเสียงเย็นชา

ครู่ใหญ่ๆผ่านไป เขาเดินกลับมา “โทรให้แล้ว ทางนู้นรับรู้เรียบร้อย ค่าโทร 1 หยวนครึ่ง”

พ่อรีบควักสตางค์ออกมาจ่ายแล้วให้ฉันเอาสาลี่ส่งมอบให้เขา พอแกะลูกสาลี่ออกจากห่อผ้า ไม่คิดว่าเขาจะรีบสะบัดหลังมือเป็นระวิงให้เราพ่อลูก ท่าทางคล้ายกำลังไล่ขอทานที่มายืนอยู่หน้าบ้าน

“ไม่ต้อง ไม่เอา ที่นี่มีเยอะแยะ ไปดูคอกหมูหลังบ้านสิ หมูยังไม่ยอมกินเลย เอาคืนไป”

แววตาและน้ำเสียงช่างเต็มไปด้วยความดูถูก เหยียดหยัน

ศักดิ์ศรีของคนจน ช่างไม่มีราคาเอาเสียเลย

ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันเดินตามหลังพ่อ กอดห่อสาลี่ไว้แน่น น้ำตาซึมมาตลอดทาง

เพียงเพราะเราจน ความผูกพันฉันเครือญาติก็จืดจางไปด้วย เพียงเพราะเราจน จึงไม่คิดจะช่วยถนอมศักดิ์ศรีให้เราบ้างเลย

ท่าทีสะบัดหลังมือเป็นระวิงแบบรำคาญในวันนั้น ประกอบกับสายตาและน้ำเสียงที่ดูถูก เหยียดหยัน เป็นภาพที่ฝังลึกอยู่ในใจของเด็กอายุ 10 ขวบอย่างฉันไม่มีวันลืม

วันนี้ ฉันจึงไม่มีทางที่จะปฏิบัติแบบเดียวกับที่ฉันเคยได้รับเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เด็กผู้หญิงคนนี้มีภาพติดลบอยู่ในใจเขาไปตลอด

ของบางอย่าง ในสายตาของคนบางคน อาจไร้ค่าเหมือนเศษผักเศษหญ้า แต่สำหรับคนบางคน มันคือของล้ำค่าที่มาจากความตั้งใจของเขา

ฉันเชื่อว่า เหตุการณ์ในวันนี้ จะมีแต่ความประทับใจจากจิตใจที่เปี่ยมรักของฉัน คงสามารถสร้างความรู้สึกดีๆในความตั้งใจของลูกศิษย์และพ่อของเขา

ไม่ว่ารวยหรือจน ทุกคนล้วนต้องการศักดิ์ศรีเหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ “ขจรศักดิ์”