นี้คือสิ่งที่แม่โกหกเรามาตลอด อ่านแล้วจะรู้เลยว่าแม่รักคุณแค่ไหน อ่านจบน้ำตามันก็ไหลออกมา
เวลาไม่มีเงิน คนแรกที่คิดถึง คือ พ่อ แม่ แต่พอมีเงินคนแรกที่คิดถึง คือ แฟนและเพื่อน
ครั้งแรก
เรื่องราวได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวที่ยากจนมีหลายครั้งทีเดียวที่ไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับทุกคนทุกครั้งเมื่อถึงเวลากินข้าว แม่จะแบ่งข้าวส่วนของ แม่มาให้ผม และพูดว่า “ทานเยอะ ๆ นะลูก แม่ไม่ค่อยหิว” นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม
ครั้งที่สอง
เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่ที่แสนขยันของผมมักจะหาเวลาว่างไปตกปลาที่แม่น้ำใกล้ ๆ บ้าน แม่หวังจะให้ผมได้รับอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอต่อการร่างกาย แม่มักจะต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นอาหาร ซึ่งผมชอบกินมาก ในขณะที่ผมกินต้มปลา แม่จะนั่งข้างๆผมแทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาที่ผมกินไม่หมด ผมรู้สึกตื้นตันใจมากทุกครั้งที่เห็น ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ได้ทานบ้างแต่แม่ปฎิเสธและบอกผมว่า “ลูกกินเถอะ แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา” นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม
ครั้งที่สาม
เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม แม่ต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อจะหาเงินมาให้เพียงพอสำหรับค่าเล่าเรียนของผม และค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้านบางครั้งผมตื่นขึ้นมากลางดึก ผมเห็นแม่ยังคงนั่งทำงานอยู่ มีเพียงแสงจากเทียนเล่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน “แม่ครับ..นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก” ผมบอกแม่ แต่แม่ยิ้มและพูดกับผมว่า “ลูกนอนก่อนเถอะ แม่ยังไม่ง่วง” นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม
ครั้งที่สี่
ในวันสอบวันสุดท้าย แม่มาเป็นกำลังใจให้ผม คุณแม่ที่แสนเข้มแข็งนั่งรอผมท่ามกลางแสงแดดจ้าของเที่ยงวันอยู่หลายชั่วโมง เมื่อระฆังดัง ส่งสัญญาณว่าการสอบสิ้นสุดลงแล้ว คุณแม่ จะส่งน้ำหวานเย็น ๆ ให้ผมจากกระติกที่แม่เตรียมเอาไว้ มันเป็นน้ำหวานที่มีรสเข้มมาก แต่ความรักของแม่ผมเข้มกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้เนื้อตัวของแม่โชกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมยื่นแก้วให้แม่และบอกให้แม่ดื่มด้วยกัน แต่แม่บอกว่า “ดื่มเถอะลูก แม่ไม่กระหาย” แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 4
ครั้งที่ห้า
หลังจากที่พ่อผมเสียชีวิตเพราะโรคร้าย คุณแม่ที่น่าสงสารของผม ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดตัวคนเดียว ชีวิตครอบครัวของเราดำเนินไปอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น ไม่มีวันไหนที่ผ่านไปอย่างไม่ทรมานเพื่อนบ้านหลายคนที่เห็นความเป็นไปของครอบครัวเราก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง บางคนก็แนะนำให้แม่แต่งงานใหม่ แต่ แม่ก็ปฏิเสธตลอดพร้อมกับบอกว่า “ฉันไม่ต้องการความรักหรอก” แม่โกหกเป็นครั้งที่ 5 แล้ว
ครั้งที่หก
หลังจากผมเรียนจบและได้งานทำแล้ว ถึงเวลาที่แม่จะได้พักผ่อนสักทีแต่แม่ดูเหมือนจะไม่ต้องการ แม่ ตื่นแต่เช้าไปขายผักที่ตลาดทุกวันเพื่อจะมีเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว แม่ ไม่เคยยอมรับเงินที่ผมซึ่งทำงานอยู่ ในเมืองหลวง ส่งไปให้ แม่ถึงกับส่งคืนมาให้ผมด้วย แม่บอกว่า “แม่มีเงินพอใช้แล้วลูก” นี่เป็นครั้งที่ 6 ที่แม่โกหกผม
ครั้งที่เจ็ด
ด้วยการสนับสนุนจากองค์กรแห่งหนึ่ง ผมเข้าเรียนต่อปริญญาโทในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ ของประเทศ เมื่อผมเรียนจบ ผมก็ถูกรับเข้าทำงานด้วยเงินเดือนที่สูงลิ้วผมตั้งใจจะพาแม่มาใช้ชีวิต อย่างสุขสบายกับผมในเมืองหลวงแต่คุณแม่ที่แสนน่ารักไม่ต้องการจะรบกวนผม แม่ บอกกับผมว่า “แม่ไม่เหมาะกับชีวิต ในเมืองหลวง หรอกลูก” แม่โกหกผมอีกเป็นครั้งที่ 7
ครั้งที่แปด
เมื่อแม่แก่ตัวลง เธอต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคมะเร็ง เมื่อรู้ข่าว ผมก็รีบกลับมาหาแม่ที่รักของผมทันที แม่นอนอย่างอ่อนเพลียหลังจากการผ่าตัด แม่ดูแก่ลงไปมาก แม่มองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกได้ว่าเธอรัก และปรารถนาจะได้เจอผมมากที่สุด แม่พยายามยิ้มให้กับผม แม่ผอมมาก และดูอ่อนแออย่างที่สุด โรคร้ายได้ทำลายร่างกายของแม่ไปมากแล้วผมมองแม่ด้วยน้ำตานองหน้า ความเจ็บปวดจับขั้วหัวใจของผม เพราะการได้เห็นคุณแม่ที่รักอยู่ในสภาพนี้แต่แม่มองหน้าผมและบอกว่า “อย่าร้องไห้เลยลูกรัก แม่ไม่รู้สึกเจ็บเลย” ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหกผม หลังจากที่แม่โกหกผม ดวงตาของเธอก็ปิดลงตลอดกาล
ขอบคุณแหล่งที่มา: chonburipost.com
เวลาไม่มีเงิน คนแรกที่คิดถึง คือ พ่อ แม่ แต่พอมีเงินคนแรกที่คิดถึง คือ แฟนและเพื่อน
ครั้งแรก
เรื่องราวได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวที่ยากจนมีหลายครั้งทีเดียวที่ไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับทุกคนทุกครั้งเมื่อถึงเวลากินข้าว แม่จะแบ่งข้าวส่วนของ แม่มาให้ผม และพูดว่า “ทานเยอะ ๆ นะลูก แม่ไม่ค่อยหิว” นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม
ครั้งที่สอง
เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่ที่แสนขยันของผมมักจะหาเวลาว่างไปตกปลาที่แม่น้ำใกล้ ๆ บ้าน แม่หวังจะให้ผมได้รับอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอต่อการร่างกาย แม่มักจะต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นอาหาร ซึ่งผมชอบกินมาก ในขณะที่ผมกินต้มปลา แม่จะนั่งข้างๆผมแทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาที่ผมกินไม่หมด ผมรู้สึกตื้นตันใจมากทุกครั้งที่เห็น ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ได้ทานบ้างแต่แม่ปฎิเสธและบอกผมว่า “ลูกกินเถอะ แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา” นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม
ครั้งที่สาม
เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม แม่ต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อจะหาเงินมาให้เพียงพอสำหรับค่าเล่าเรียนของผม และค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้านบางครั้งผมตื่นขึ้นมากลางดึก ผมเห็นแม่ยังคงนั่งทำงานอยู่ มีเพียงแสงจากเทียนเล่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน “แม่ครับ..นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก” ผมบอกแม่ แต่แม่ยิ้มและพูดกับผมว่า “ลูกนอนก่อนเถอะ แม่ยังไม่ง่วง” นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม
ครั้งที่สี่
ในวันสอบวันสุดท้าย แม่มาเป็นกำลังใจให้ผม คุณแม่ที่แสนเข้มแข็งนั่งรอผมท่ามกลางแสงแดดจ้าของเที่ยงวันอยู่หลายชั่วโมง เมื่อระฆังดัง ส่งสัญญาณว่าการสอบสิ้นสุดลงแล้ว คุณแม่ จะส่งน้ำหวานเย็น ๆ ให้ผมจากกระติกที่แม่เตรียมเอาไว้ มันเป็นน้ำหวานที่มีรสเข้มมาก แต่ความรักของแม่ผมเข้มกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้เนื้อตัวของแม่โชกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมยื่นแก้วให้แม่และบอกให้แม่ดื่มด้วยกัน แต่แม่บอกว่า “ดื่มเถอะลูก แม่ไม่กระหาย” แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 4
ครั้งที่ห้า
หลังจากที่พ่อผมเสียชีวิตเพราะโรคร้าย คุณแม่ที่น่าสงสารของผม ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดตัวคนเดียว ชีวิตครอบครัวของเราดำเนินไปอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น ไม่มีวันไหนที่ผ่านไปอย่างไม่ทรมานเพื่อนบ้านหลายคนที่เห็นความเป็นไปของครอบครัวเราก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง บางคนก็แนะนำให้แม่แต่งงานใหม่ แต่ แม่ก็ปฏิเสธตลอดพร้อมกับบอกว่า “ฉันไม่ต้องการความรักหรอก” แม่โกหกเป็นครั้งที่ 5 แล้ว
ครั้งที่หก
หลังจากผมเรียนจบและได้งานทำแล้ว ถึงเวลาที่แม่จะได้พักผ่อนสักทีแต่แม่ดูเหมือนจะไม่ต้องการ แม่ ตื่นแต่เช้าไปขายผักที่ตลาดทุกวันเพื่อจะมีเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว แม่ ไม่เคยยอมรับเงินที่ผมซึ่งทำงานอยู่ ในเมืองหลวง ส่งไปให้ แม่ถึงกับส่งคืนมาให้ผมด้วย แม่บอกว่า “แม่มีเงินพอใช้แล้วลูก” นี่เป็นครั้งที่ 6 ที่แม่โกหกผม
ครั้งที่เจ็ด
ด้วยการสนับสนุนจากองค์กรแห่งหนึ่ง ผมเข้าเรียนต่อปริญญาโทในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ ของประเทศ เมื่อผมเรียนจบ ผมก็ถูกรับเข้าทำงานด้วยเงินเดือนที่สูงลิ้วผมตั้งใจจะพาแม่มาใช้ชีวิต อย่างสุขสบายกับผมในเมืองหลวงแต่คุณแม่ที่แสนน่ารักไม่ต้องการจะรบกวนผม แม่ บอกกับผมว่า “แม่ไม่เหมาะกับชีวิต ในเมืองหลวง หรอกลูก” แม่โกหกผมอีกเป็นครั้งที่ 7
ครั้งที่แปด
เมื่อแม่แก่ตัวลง เธอต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคมะเร็ง เมื่อรู้ข่าว ผมก็รีบกลับมาหาแม่ที่รักของผมทันที แม่นอนอย่างอ่อนเพลียหลังจากการผ่าตัด แม่ดูแก่ลงไปมาก แม่มองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกได้ว่าเธอรัก และปรารถนาจะได้เจอผมมากที่สุด แม่พยายามยิ้มให้กับผม แม่ผอมมาก และดูอ่อนแออย่างที่สุด โรคร้ายได้ทำลายร่างกายของแม่ไปมากแล้วผมมองแม่ด้วยน้ำตานองหน้า ความเจ็บปวดจับขั้วหัวใจของผม เพราะการได้เห็นคุณแม่ที่รักอยู่ในสภาพนี้แต่แม่มองหน้าผมและบอกว่า “อย่าร้องไห้เลยลูกรัก แม่ไม่รู้สึกเจ็บเลย” ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหกผม หลังจากที่แม่โกหกผม ดวงตาของเธอก็ปิดลงตลอดกาล
ขอบคุณแหล่งที่มา: chonburipost.com