ขายของออนไลน์ เสียภาษี อย่างไร
? ตอบทุกข้อสงสัยพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ที่จะยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2560 พร้อมวิธีคำนวณภาษีขายของออนไลน์ ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
เดี๋ยวนี้การขายของออนไลน์กลายเป็นอาชีพที่ใคร ๆ ก็ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้เงินทุนสูง แถมเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว เผลอแป๊ปเดียว ร่ำรวยมีเงินแสน เงินล้านกันแบบไม่รู้ตัวก็มี แต่ก็นั่นแหละเมื่อมีรายได้ สิ่งที่ตามมาแน่นอนก็คือเรื่องของภาษี ซึ่งหลายคนมักลืมไป หรือไม่รู้ว่าขายของออนไลน์ก็ต้องเสียภาษีด้วย กระปุกดอทคอม จึงจะมาแจกแจงให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายเข้าใจกันว่า ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน เท่าไหร่ และมีวิธีคำนวณอย่างไรบ้าง
ขายของออนไลน์เสียภาษี ด้วยหรือ ?
เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยและไม่เข้าใจ ว่าทำไมขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีด้วยนะ ซึ่งก็อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า เมื่อเราขายของ ถึงแม้จะเป็นร้านออนไลน์ก็ตาม แต่ถ้ามีรายได้เข้ามา จึงเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ทุกคนที่ต้องนำไปยื่นเสียภาษีตามกฎหมาย ซึ่งการขายของออนไลน์นั้น จะเข้าข่ายเงินได้ประเภทที่ 8 คือ เงินได้จากการค้าขาย จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมขายของออนไลน์ ถึงต้องเสียภาษี
ขายของออนไลน์เสียภาษี ต้องมีรายได้เท่าไหร่ ?
การเสียภาษีขายของออนไลน์ จะเกี่ยวข้องกับภาษี 2 ประเภท ได้แก่ ภาษีเงินบุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ที่จะต้องเสียภาษีก็จะอิงตามอัตราฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป คือ มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป
โดยเราต้องนำรายได้ทั้งหมด จากการขายของออนไลน์มาหักค่าใช้จ่าย ก่อนที่จะนำไปคำนวณภาษี ซึ่งค่าใช้จ่ายคิดได้ 2 วิธี คือ "แบบเหมา" จะเป็นการหักต้นทุนในสัดส่วน 60% ของรายได้ หรือก็คือการนำ 40% ของรายได้ทั้งหมดไปคิดภาษี
ส่วนอีกวิธีจะคิด "แบบตามความจำเป็น" คือ นำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง จากการขายของออนไลน์มาหักออก ซึ่งใครอยากจะหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีนี้ จำเป็นต้องมีใบเสร็จ เอกสารแสดงรายได้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนด้วยนะ แต่ก็สร้างความยุ่งยากพอสมควร ดังนั้นพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์จึงมักเลือกจ่าย "แบบเหมา" มากกว่า
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) : การเสีย VAT ที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 7% นั้น จะจัดเก็บกับพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น สำหรับใครที่รายได้ไม่ถึงก็สบายใจได้เลย
ขายของออนไลน์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม ?
รายได้จากการขายของออนไลน์ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามปกติ เหมือนมนุษย์เงินเดือนและผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ ทั่วไป ทั้งค่าลดหย่อนส่วนตัว ซื้อประกันชีวิต ซื้อกองทุน LTF RMF หรือ เงินบริจาค เป็นต้น
สามารถตรวจสอบรายการลดหย่อนภาษี 2560 ได้ตามนี้ >>> ลดหย่อนภาษี 2560 มีอะไรบ้าง สรุปครบทุกรายการ !
ขายของออนไลน์ ยื่นภาษีตอนไหน ?
รายได้จากการขายของออนไลน์เป็นเงินได้ประเภทที่ 8 เพราะฉะนั้นเราจึงต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 ครั้ง นั่นคือ ภาษีครึ่งปีและภาษีประจำปี
1. ภาษีครึ่งปี : เป็นการยื่นรายได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 30 มิถุนายนของปีนั้น ๆ หากเรามีรายได้มากกว่า 60,000 บาท ในกรณีโสด หรือกรณีมีคู่สมรสต้องมีรายได้รวมกันเกิน 120,000 บาท โดยปกติแล้วจะเปิดให้ยื่นช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนของปีภาษีนั้น
>>> เช็กหน่อย ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษีครึ่งปี ?!
2. ภาษีประจำปี : เป็นการสรุปเงินได้ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีนั้น ๆ มายื่นคำนวณภาษี ซึ่งจะเปิดให้ยื่นช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี
ส่วนใครที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย จะต้องไปยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ที่ สรรพากรพื้นที่ ภายใน 30 นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน และในทุก ๆ เดือน จะต้องนำใบกำกับภาษีไปยื่นเพื่อเสียภาษีแก่กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
วิธีคำนวณภาษี ขายของออนไลน์
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายของออนไลน์ คิดได้ 2 แบบ คือ
- วิธีแรก (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) * อัตราภาษี
- วิธีที่สอง เงินได้ * 0.5%
โดยเราจะคำนวณวิธีที่ 2 ก็ต่อเมื่อมีรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน เกิน 1 ล้านบาทต่อปี แล้วถึงมาเปรียบเทียบว่าระหว่างวิธีแรกกับวิธีที่สอง อันไหนได้ตัวเลขที่มากกว่า ก็ให้นำตัวเลขที่มากกว่านั้นไปยื่นเสียภาษี แต่ถ้ารายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนไม่ถึง 1 ล้านบาท คำนวณแค่วิธีแรกก็พอ แล้วนำตัวเลขนั้นไปยื่นเสียภาษีได้เลย
วิธีคำนวณภาษีขายของออนไลน์ด้วยตัวเอง
สมมติ นาย A มีรายได้จากการขายรองเท้าผ่านเฟซบุ๊ก 1,400,000 บาทต่อปี โดยที่ไม่มีรายได้จากงานประจำ
คำนวณแบบวิธีแรก : (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) * อัตราภาษี
เงินได้ เท่ากับ 1,400,000 บาท
ค่าใช้จ่าย (60% ของรายได้ทั้งหมด) เท่ากับ 840,000
ค่าลดหย่อน สมมติ นาย A มีแค่ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท
จะได้เป็น (1,400,000 - 840,000 - 60,000 ) * อัตราภาษี
จึงทำให้เหลือเงินได้สุทธิก่อนนำไปคำนวณภาษีเท่ากับ 500,000 บาท แล้วจึงนำไปคูณอัตราภาษี ตามฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่กำหนดไว้
- รายได้ 0-150,000 ยกเว้นอัตราภาษี
- รายได้ 150,001-300,000 บาท อัตราภาษี 5% (ภาษีที่ต้องเสียสูงสุดในขั้นนี้ 7,500 บาท)
- รายได้ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 20,000 บาท)
- รายได้ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 37,500 บาท)
- รายได้ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 50,000 บาท)
- รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 250,000 บาท)
- รายได้ 2,000,001-5,000,000 บาท อัตราภาษี 30% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 600,000 บาท)
- รายได้ 5,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
ดังนั้น กรณีนาย A มีเงินได้สุทธิอยู่ที่ 500,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 10% ทำให้ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (7,500 + 20,000) คิดเป็นเงินภาษีทีต้องจ่ายทั้งสิ้น 27,500 บาท
คำนวณแบบวิธีที่สอง : เงินได้ * 0.5%
เนื่องด้วยนาย A มีรายได้จากการขายรองเท้าเกิน 1 ล้านบาทต่อปี เลยต้องคิดแบบที่สองด้วย โดยจะคำนวณเงินเสียภาษีออกมาได้เท่ากับ 1,400,000 * 0.5% เท่ากับ 7,000 บาท
สรุปแล้วนาย A จะต้องเสียภาษีตามแบบที่คำนวณได้มากที่สุด นั่นคือวิธีแรกนั่นเอง ซึ่งต้องเสียภาษีทั้งหมด 27,500 บาท ส่วนภาษี VAT นั้น ไม่ต้องเสียเพราะมีรายได้จากการขายของผ่านเฟซบุ๊กไม่ถึง 1.8 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ถ้าเราไม่ได้มีรายได้จากการขายของออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่มีรายได้จากส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น เงินเดือน ค่าจ้างทั่วไป หรือดอกเบี้ย เงินปันผลต่าง ๆ ก็จะต้องนำรายได้ส่วนนั้น ๆ มาคำนวณรวมกันด้วยนะ
ขายของออนไลน์ ไม่ยื่นภาษีมีความผิดหรือเปล่า ?
พ่อค้า-แม่ค้าที่ขายของออนไลน์ แล้วมีรายได้เกิดขึ้นต้องมีหน้าที่ไปยื่นภาษีด้วยนะ โดยหากพบการหลีกเลี่ยงยื่นภาษี จะมีความผิดและบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนี้
1. กรณีไม่ได้ยื่นแบบภาษีภายในเวลาที่กำหนด ต้องเสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดให้ยื่นแบบจนถึงวันชำระภาษี และมีโทษปรับทางอาญาไม่เกิน 2,000 บาท
2. กรณียื่นเสียภาษีไม่ครบจำนวน จะต้องเสียค่าปรับ 1-2 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด
3. เจตนาละเลยไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนดเพื่อหนีภาษี จะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. จงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จเพื่อหนีภาษี จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท
รู้แบบนี้แล้ว ! ใครที่มีรายได้จากธุรกิจขายของออนไลน์และถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็อย่าลืมนำวิธีที่เราบอกไปคำนวณด้วยตัวเองดูก่อนเลย จะได้วางแผนการยื่นภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กรมสรรพากร
เดี๋ยวนี้การขายของออนไลน์กลายเป็นอาชีพที่ใคร ๆ ก็ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้เงินทุนสูง แถมเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว เผลอแป๊ปเดียว ร่ำรวยมีเงินแสน เงินล้านกันแบบไม่รู้ตัวก็มี แต่ก็นั่นแหละเมื่อมีรายได้ สิ่งที่ตามมาแน่นอนก็คือเรื่องของภาษี ซึ่งหลายคนมักลืมไป หรือไม่รู้ว่าขายของออนไลน์ก็ต้องเสียภาษีด้วย กระปุกดอทคอม จึงจะมาแจกแจงให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายเข้าใจกันว่า ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน เท่าไหร่ และมีวิธีคำนวณอย่างไรบ้าง
เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยและไม่เข้าใจ ว่าทำไมขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีด้วยนะ ซึ่งก็อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า เมื่อเราขายของ ถึงแม้จะเป็นร้านออนไลน์ก็ตาม แต่ถ้ามีรายได้เข้ามา จึงเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ทุกคนที่ต้องนำไปยื่นเสียภาษีตามกฎหมาย ซึ่งการขายของออนไลน์นั้น จะเข้าข่ายเงินได้ประเภทที่ 8 คือ เงินได้จากการค้าขาย จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมขายของออนไลน์ ถึงต้องเสียภาษี
ขายของออนไลน์เสียภาษี ต้องมีรายได้เท่าไหร่ ?
การเสียภาษีขายของออนไลน์ จะเกี่ยวข้องกับภาษี 2 ประเภท ได้แก่ ภาษีเงินบุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ที่จะต้องเสียภาษีก็จะอิงตามอัตราฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป คือ มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป
โดยเราต้องนำรายได้ทั้งหมด จากการขายของออนไลน์มาหักค่าใช้จ่าย ก่อนที่จะนำไปคำนวณภาษี ซึ่งค่าใช้จ่ายคิดได้ 2 วิธี คือ "แบบเหมา" จะเป็นการหักต้นทุนในสัดส่วน 60% ของรายได้ หรือก็คือการนำ 40% ของรายได้ทั้งหมดไปคิดภาษี
ส่วนอีกวิธีจะคิด "แบบตามความจำเป็น" คือ นำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง จากการขายของออนไลน์มาหักออก ซึ่งใครอยากจะหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีนี้ จำเป็นต้องมีใบเสร็จ เอกสารแสดงรายได้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนด้วยนะ แต่ก็สร้างความยุ่งยากพอสมควร ดังนั้นพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์จึงมักเลือกจ่าย "แบบเหมา" มากกว่า
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) : การเสีย VAT ที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 7% นั้น จะจัดเก็บกับพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น สำหรับใครที่รายได้ไม่ถึงก็สบายใจได้เลย
ขายของออนไลน์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม ?
รายได้จากการขายของออนไลน์ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามปกติ เหมือนมนุษย์เงินเดือนและผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ ทั่วไป ทั้งค่าลดหย่อนส่วนตัว ซื้อประกันชีวิต ซื้อกองทุน LTF RMF หรือ เงินบริจาค เป็นต้น
สามารถตรวจสอบรายการลดหย่อนภาษี 2560 ได้ตามนี้ >>> ลดหย่อนภาษี 2560 มีอะไรบ้าง สรุปครบทุกรายการ !
รายได้จากการขายของออนไลน์เป็นเงินได้ประเภทที่ 8 เพราะฉะนั้นเราจึงต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 ครั้ง นั่นคือ ภาษีครึ่งปีและภาษีประจำปี
1. ภาษีครึ่งปี : เป็นการยื่นรายได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 30 มิถุนายนของปีนั้น ๆ หากเรามีรายได้มากกว่า 60,000 บาท ในกรณีโสด หรือกรณีมีคู่สมรสต้องมีรายได้รวมกันเกิน 120,000 บาท โดยปกติแล้วจะเปิดให้ยื่นช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนของปีภาษีนั้น
>>> เช็กหน่อย ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษีครึ่งปี ?!
2. ภาษีประจำปี : เป็นการสรุปเงินได้ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีนั้น ๆ มายื่นคำนวณภาษี ซึ่งจะเปิดให้ยื่นช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี
ส่วนใครที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย จะต้องไปยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ที่ สรรพากรพื้นที่ ภายใน 30 นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน และในทุก ๆ เดือน จะต้องนำใบกำกับภาษีไปยื่นเพื่อเสียภาษีแก่กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
วิธีคำนวณภาษี ขายของออนไลน์
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายของออนไลน์ คิดได้ 2 แบบ คือ
- วิธีแรก (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) * อัตราภาษี
- วิธีที่สอง เงินได้ * 0.5%
โดยเราจะคำนวณวิธีที่ 2 ก็ต่อเมื่อมีรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน เกิน 1 ล้านบาทต่อปี แล้วถึงมาเปรียบเทียบว่าระหว่างวิธีแรกกับวิธีที่สอง อันไหนได้ตัวเลขที่มากกว่า ก็ให้นำตัวเลขที่มากกว่านั้นไปยื่นเสียภาษี แต่ถ้ารายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนไม่ถึง 1 ล้านบาท คำนวณแค่วิธีแรกก็พอ แล้วนำตัวเลขนั้นไปยื่นเสียภาษีได้เลย
สมมติ นาย A มีรายได้จากการขายรองเท้าผ่านเฟซบุ๊ก 1,400,000 บาทต่อปี โดยที่ไม่มีรายได้จากงานประจำ
คำนวณแบบวิธีแรก : (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) * อัตราภาษี
เงินได้ เท่ากับ 1,400,000 บาท
ค่าใช้จ่าย (60% ของรายได้ทั้งหมด) เท่ากับ 840,000
ค่าลดหย่อน สมมติ นาย A มีแค่ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท
จะได้เป็น (1,400,000 - 840,000 - 60,000 ) * อัตราภาษี
จึงทำให้เหลือเงินได้สุทธิก่อนนำไปคำนวณภาษีเท่ากับ 500,000 บาท แล้วจึงนำไปคูณอัตราภาษี ตามฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่กำหนดไว้
- รายได้ 0-150,000 ยกเว้นอัตราภาษี
- รายได้ 150,001-300,000 บาท อัตราภาษี 5% (ภาษีที่ต้องเสียสูงสุดในขั้นนี้ 7,500 บาท)
- รายได้ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 20,000 บาท)
- รายได้ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 37,500 บาท)
- รายได้ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 50,000 บาท)
- รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 250,000 บาท)
- รายได้ 2,000,001-5,000,000 บาท อัตราภาษี 30% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 600,000 บาท)
- รายได้ 5,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
ดังนั้น กรณีนาย A มีเงินได้สุทธิอยู่ที่ 500,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 10% ทำให้ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (7,500 + 20,000) คิดเป็นเงินภาษีทีต้องจ่ายทั้งสิ้น 27,500 บาท
คำนวณแบบวิธีที่สอง : เงินได้ * 0.5%
เนื่องด้วยนาย A มีรายได้จากการขายรองเท้าเกิน 1 ล้านบาทต่อปี เลยต้องคิดแบบที่สองด้วย โดยจะคำนวณเงินเสียภาษีออกมาได้เท่ากับ 1,400,000 * 0.5% เท่ากับ 7,000 บาท
สรุปแล้วนาย A จะต้องเสียภาษีตามแบบที่คำนวณได้มากที่สุด นั่นคือวิธีแรกนั่นเอง ซึ่งต้องเสียภาษีทั้งหมด 27,500 บาท ส่วนภาษี VAT นั้น ไม่ต้องเสียเพราะมีรายได้จากการขายของผ่านเฟซบุ๊กไม่ถึง 1.8 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ถ้าเราไม่ได้มีรายได้จากการขายของออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่มีรายได้จากส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น เงินเดือน ค่าจ้างทั่วไป หรือดอกเบี้ย เงินปันผลต่าง ๆ ก็จะต้องนำรายได้ส่วนนั้น ๆ มาคำนวณรวมกันด้วยนะ
ขายของออนไลน์ ไม่ยื่นภาษีมีความผิดหรือเปล่า ?
พ่อค้า-แม่ค้าที่ขายของออนไลน์ แล้วมีรายได้เกิดขึ้นต้องมีหน้าที่ไปยื่นภาษีด้วยนะ โดยหากพบการหลีกเลี่ยงยื่นภาษี จะมีความผิดและบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนี้
1. กรณีไม่ได้ยื่นแบบภาษีภายในเวลาที่กำหนด ต้องเสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดให้ยื่นแบบจนถึงวันชำระภาษี และมีโทษปรับทางอาญาไม่เกิน 2,000 บาท
2. กรณียื่นเสียภาษีไม่ครบจำนวน จะต้องเสียค่าปรับ 1-2 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด
3. เจตนาละเลยไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนดเพื่อหนีภาษี จะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. จงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จเพื่อหนีภาษี จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท
รู้แบบนี้แล้ว ! ใครที่มีรายได้จากธุรกิจขายของออนไลน์และถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็อย่าลืมนำวิธีที่เราบอกไปคำนวณด้วยตัวเองดูก่อนเลย จะได้วางแผนการยื่นภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กรมสรรพากร