15 สาเหตุใกล้ตัว ที่ทำให้ปวดหัวทุกวัน !

อาการปวดหัวของเราที่เป็นกันอยู่ทุกวัน เชื่อไหมคะว่าอาจมีสาเหตุจากเรื่องใกล้ตัวที่เราเองก็คาดไม่ถึง และจริง ๆ แล้วเราสามารถแก้ปวดหัวได้โดยไม่ต้องพึ่งยาขนานไหน แค่ปรับแค่เปลี่ยนความคิดและนิสัยบางอย่างของเราเองนี่แหละ

          อาการปวดหัวแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงเท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้รำคาญตัวเองไม่น้อย และบางคนไม่ใช่แค่ปวดหัวเท่านั้นด้วยนะคะ แต่อาการปวดขมับ ปวดเบ้าตา และอาการตึงเครียดที่ท้ายทอยก็มาเยือนด้วย โดยอาการปวดหัวที่เราเป็นกันบ่อย ๆ นั้น ไม่น้อยหรอกค่ะที่เกิดจากเรื่องใกล้ตัวซึ่งจริง ๆ แล้วเราหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นใครไม่อยากมีอาการปวดหัวทุกวัน มาลองเช็กกันว่าสาเหตุใกล้ตัวที่ทำให้เราปวดหัวบ่อย ๆ มีอะไรบ้าง และเราสามารถหลีกเลี่ยงต้นตอของอาการปวดหัวได้ด้วยวิธีไหน


1. ความเครียด

          ความเครียดเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็พบเจอด้วยกันได้ทั้งนั้น ซึ่งอาการปวดหัวจากความเครียดสังเกตได้ง่าย ๆ ค่ะ โดยจะมีความรู้สึกปวดหนัก ๆ ที่ขมับทั้งสองข้าง ปวดตื้อ ๆ แต่ไม่ปวดแบบตุบ ๆ หรือบางคนอาจมีอาการปวดหัวร่วมกับปวดต้นคอ ไหล่ และหลังร่วมด้วย

          โดยคนที่จะมีอาการปวดหัวแบบนี้ทุกวัน นั่นก็แปลว่าคุณกำลังตกอยู่ในความเครียด ความกดดัน หรือรู้สึกวิตกกังวลกับอะไรบางอย่าง ซึ่งหากไม่อยากทรมานกับอาการปวดหัวอีกต่อไป ลองฝึกนั่งสมาธิ สงบจิตใจ และรู้จักปล่อยวางบ้างก็ดีนะคะ

ปวดหัว

2. ติดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
          ทุกวันนี้คนเราจ้องหน้าจอมากกว่ามองวิวรอบ ๆ ตัวอีกนะคะ ดังนั้นหายสงสัยได้เลยว่าทำไมตกเย็นในทุกวันถึงมีอาการปวดหัว ปวดกระบอกตารอบ ๆ ได้ นั่นก็เพราะเราใช้สายตากับเทคโนโลยีเหล่านี้มากเกินไป โดยเฉพาะคนที่เล่นมือถือในระหว่างเดินทาง จ้องจอติดกันเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีความสั่นสะเทือนไม่มากก็น้อย แบบนี้ดวงตาก็ต้องโฟกัสสิ่งที่กำลังดูมากขึ้นไปโดยปริยาย เกร็งทั้งดวงตา ทั้งก้มคอ ความตึงเครียดเหล่านี้แหละสาเหตุหลักที่ทำให้ปวดหัวเลย !

          ทว่าวิธีแก้ปวดหัวจากการติดสมาร์ทโฟนก็มีค่ะ โดยพยายามอย่าจ้องหน้าจอนานติดต่อกัน ควรเงยหน้ามาพักสายตา มองไปรอบ ๆ ตัวหาพื้นที่สีเขียวทุก ๆ 5 นาที รวมทั้งกะพริบตาให้บ่อยขึ้น และปรับแสงหน้าจอให้มีความเหมาะสม ไม่มืด ไม่สว่างเกินไปก็ช่วยได้แล้ว


ปวดหัว

3. นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป

          หนุ่ม-สาวออฟฟิศที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ก็มักจะมีอาการปวดหัวหนัก ๆ รู้สึกหนักหัว และปวดกระบอกตาตุบ ๆ ร่วมกับอาการปวดคอ ไหล่ และหลัง โดยอาการมักจะมาตอนบ่ายหรือใกล้เลิกงาน บางคนอาจมีอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนได้ด้วยนะคะ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดได้จากหลายสาเหตุเลยค่ะ โดยบางคนอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา ถึงเวลาต้องตัดแว่น หรือเปลี่ยนเลนส์แว่นสักที เพราะสายตาตอนนี้เปลี่ยนไปไม่ตรงกับค่าเลนส์แว่นอันเดิมที่ใส่แล้ว หรือบางคนอาจทำงานหนัก นั่งติดเก้าอี้และจ้องจอคอมพ์ ไม่ยอมลุกไปไหน ขนาดกินข้าวก็ยังนั่งกินที่โต๊ะ เล่นโซเชียลผ่านหน้าจอคอมพ์ไปอีก ซึ่งก็เท่ากับว่าเราใช้สายตาไปกับจอคอมพิวเตอร์แทบจะทั้ง 8-9 ชั่วโมงที่ทำงาน ดังนั้นอาการล้าสายตา ปวดเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้ด้วยนะคะ
  
          ทั้งที่จริง ๆ แล้วเราสามารถปรับพฤติกรรมเพื่อเลี่ยงอาการปวดหัวที่มีสาเหตุมาจากการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ไม่ยาก โดยพยายามพักสายตาไปมองรอบ ๆ ตัวทุก 10 นาที และลุกไปเปลี่ยนอิริยาบถทุก ๆ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

ปวดหัว

4. ติดกาแฟ

          กาแฟมีคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นความตื่นตัวให้ร่างกาย อันนี้ไม่เถียงค่ะ แต่รู้ไหมคะว่าการฝึกตัวเองให้ติดกาแฟหนัก ๆ อย่างคนที่ดื่มกาแฟได้วันละ 4-5 แก้วต่อวัน พฤติกรรมดังกล่าวก็เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดหัวบ่อย ๆ ได้เหมือนกันนะ เพราะปริมาณคาเฟอีนที่สะสมอยู่ในร่างกายมากเกิน จากการกินกาแฟมากกว่า 4 แก้วต่อวัน จะกระตุ้นสมองส่วนกลางรัว ๆ ทำให้มีอาการปวดหัว ปวดกระบอกตาตุบ ๆ บางคนอาจมึนหัวเหมือนคนนอนไม่พอ หรืออาจพัฒนาเป็นโรคไมเกรนได้ถ้ายังไม่เลิกติดกาแฟ

5. เสพติดหมากฝรั่ง

          มีใครแถวนี้ติดเคี้ยวหมากฝรั่งบ้างไหมคะ ประเภทต้องเคี้ยวหมากฝรั่งหลังมื้ออาหาร ยามง่วง ๆ หรือทุกครั้งที่รู้สึกว่าลมหายใจไม่สะอาด จะบอกให้รู้ว่าพฤติกรรมติดเคี้ยวหมากฝรั่งแบบนี้อาจเป็นต้นเหตุของอาการปวดหัวข้างเดียว แบบรู้สึกปวดขมับตุบ ๆ ร้าวลงมาถึงกรามได้ อันเนื่องมาจากภาวะกรามล้า จากการต้องบดเคี้ยวย้ำ ๆ นั่นเอง
   
          ดังนั้นหากใครปวดหัวข้างเดียวบ่อย ๆ ในลักษณะนี้ และเดาได้ว่าอาจมีสาเหตุเพราะติดเคี้ยวหมากฝรั่ง ก็พยายามงดเคี้ยวหมากฝรั่งไปสักพัก หรืออย่างน้อยเคี้ยวให้น้อยลงหน่อยก็ยังดี

ปวดหัว

6. ดื่ม/กินของเย็นจัด

          สำหรับเคสที่ปวดหัวจี๊ด ๆ ทุกวัน​โดยเฉพาะตอนดื่มน้ำเย็นเจี๊ยบหรือกินของเย็นจัด ๆ อาการนี้เรียกว่าภาวะ Brain freeze ที่จะก่อให้เกิดอาการปวดหัวจี๊ด ๆ หรือในบางคนปวดเจ็บจี๊ด ๆ ที่บริเวณขมับ อันเนื่องมาจากการรับของเย็นจัดเข้าร่างกาย จะกระตุ้นหลอดเลือดบริเวณช่องคอแถวเพดานอ่อนให้หดตัว แล้วก็เกิดการคลายตัวในเวลาถัดมา ซึ่งการหดและคลายตัวของหลอดเลือดจะส่งผลทำให้ต่อมรับความรู้สึกเจ็บปวด (Pain Receptor) ถูกกระตุ้น และส่งผลไปยังสมองและเส้นประสาท ทำให้เส้นเลือดหดเกร็งตัว ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะจี๊ด ๆ นั่นเอง
  
          ทว่าวิธีแก้ปวดหัวจี๊ด ๆ จากการดื่มน้ำเย็นหรือกินของเย็นจัดก็ไม่ยากค่ะ เพียงแค่ค่อย ๆ ดื่มน้ำเย็น หรือเล็มไอศกรีมช้า ๆ โดยแตะที่ลิ้นก่อนเพื่อให้อุณหภูมิในร่างกายได้ปรับตัวในขั้นแรก เท่านี้ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงอาการปวดหัวจี๊ด ๆ ได้แล้วล่ะ หรือทางที่ดีพยายามดื่มน้ำที่ไม่เย็นจัดมากก็น่าจะช่วยได้เยอะเลยนะคะ


7. แบกกระเป๋าหนัก ๆ หรือยืน-นั่งจนหลังแข็ง !

          ในบางอาชีพที่แทบต้องยืน เดินทำงานทั้งวันแบบไม่มีเวลานั่งพักสักเท่าไร หรือในกลุ่มนักเดินทาง นักเรียนที่ต้องแบกกระเป๋าหนัก ๆ เป็นเวลานาน ๆ กลุ่มนี้จะเกิดอาการปวดหัวตื้อ ๆ ร่วมกับอาการปวดหลังและคอได้ โดยสาเหตุก็คืออาการปวดล้ากล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง จะลามมาทำให้กล้ามเนื้อลำคอเกร็งปวดไปด้วยได้ ก่อให้เกิดความรู้สึกปวดหัวในเวลาต่อมา ดังนั้นลองสังเกตนะคะว่าหากเรามีอาการหลังแข็ง คอแข็ง ร่วมกับอาการปวดศีรษะแบบมึน ๆ บ่อยจนน่ากังวล ลองไปพบแพทย์หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองในเบื้องต้นก็ได้

ปวดหัว

8. ปัญหาสุขภาพฟัน

          ปัญหาสุขภาพฟันก็ไม่ควรมองข้ามค่ะ เพราะอาจเป็นต้นตอของอาการปวดหัว 2 ข้าง หรือปวดหัวข้างเดียวในลักษณะปวดเหมือนมีอะไรมารัดรึงที่หัว ปวดรอบ ๆ ลูกตา ปวดร้าวแนวกรามและขากรรไกร บางรายอาจมีอาการกัดฟันในตอนกลางคืนร่วมด้วย และสัมผัสได้ถึงอาการปวดศีรษะเมื่อเอามือไปแตะที่หน้าผาก พร้อมทั้งเมื่ออ้าปากอาจมีเสียงดังกึกให้ได้ยินเบา ๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะปัญหาความผิดปกติของข้อขมับและขากรรไกรล่าง ที่ทำให้การสบฟันผิดปกติไปด้วย จนเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อที่ควรได้รับการพักผ่อนต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่า นานเข้าจึงส่งสัญญาณความเมื่อยล้ามาเป็นอาการปวดหัวอย่างที่บอกไป

          แต่อย่างไรก็ดี วิธีรักษาอาการปวดหัวจากสาเหตุนี้ต้องได้รับการรักษาโดยทันตแพทย์เท่านั้นค่ะ อย่าซื้อยาแก้ปวดกินเองเด็ดขาด


ปวดหัว

9. นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ
          สำหรับคนที่จำเป็นต้องนอนดึก ตื่นแต่เช้า ร่างกายก็คงไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ จนเป็นเหตุให้เกิดอาการปวดหัวทุกเช้าหลังตื่นนอนได้ โดยอาการปวดหัวจะมีลักษณะปวดตุบ ๆ หนักศีรษะเหมือนจะลุกไม่ค่อยไหวในทุกเช้า ซึ่งนอกจากอาการปวดหัวทุกเช้าจะเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว ยังอาจเป็นได้จากความเครียด ปัญหาสุขภาพฟัน หรือเป็นอาการเริ่มแรกของโรคไมเกรนก็ได้ด้วยนะคะ ดังนั้นลองแก้ปวดหัวด้วยการพยายามพักผ่อนให้เต็มอิ่มดูก่อน หากอาการปวดหัวยังไม่หาย ลองพบแพทย์เพื่อหาต้นตอของปัญหาที่แท้จริงให้รู้ชัดกันไปเลย

10. กินยาแก้ปวดมากเกินไป !
          โดยเฉพาะยาแก้ปวดจำพวกอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือไทลินอล, แอสไพริน และไอบูโพรเฟนเกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมทั้งยารักษาโรคไมเกรน (Triptans) เกิน 10 วันต่อเดือนด้วย ซึ่งเมื่อเรากินยาแก้ปวดติดต่อกันนาน ๆ จนร่างกายเกิดความเคยชิน อาการปวดก็จะถูกฤทธิ์ยากดไว้ ทว่าพอฤทธิ์ยาในร่างกายหมดไป อาการปวดหัวจะฟื้นกลับมาแสดงอาการอีกครั้งในทันที ทำให้เรารู้สึกปวดหัวเกือบทุกวัน โดยปวดไปทั้งศีรษะหรือปวดขมับอย่างหนักเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการในแต่ละบุคคล และถ้าอยากหายจากอาการปวดหัวลองปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ปรับลดขนาดยาให้เหมาะสมกับความจำเป็นของร่างกายดีกว่านะคะ

ปวดหัว

11. ปวดหัวจากการออกกำลังกาย


          การออกกำลังกายที่หนักมากเกินไป โดยเฉพาะหากผู้ออกกำลังกายกดดันตัวเอง หรือออกกำลังกายที่เกินกำลังสังขารของตัวเอง เคสนี้เราพบว่าเป็นต้นเหตุของอาการปวดศีรษะได้เช่นกันค่ะ โดยลักษณะอาการปวดจะปวดหัวตุ้บ ๆ ทั้งศีรษะ เหมือนมีอะไรมาแทงอยู่ข้างใน หรือบางคนอาจรู้สึกปวดท้ายทอยหรือเฉพาะส่วนหน้าของศีรษะนานหลายนาที แม้จะหยุดออกกำลังกายไปแล้วอาการปวดหัวก็ยังอยู่

          ซึ่งอาการปวดหัวที่กล่าวมานี้ยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ในระหว่างที่เราออกกำลังกายได้ด้วยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นร้อนอบอ้าว ร่างกายของเราเหนื่อยล้าและมีอาการปวดหัวอยู่ก่อนแล้ว ออกกำลังกายหนักจนเกิดภาวะขาดน้ำ ปวดหัวจากอุปกรณ์ออกกำลังกายบางชนิดที่มีความบีบรัด ปวดหัวจากการโหม่งบอลผิดท่า หรือเป็นคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแล้วไปออกกำลังกายหนัก ๆ ในทันที กลุ่มนี้ก็จะเกิดอาการปวดหัวหลังออกกำลังกายได้เหมือนกันค่ะ

          โดยทางแก้ก็คือตรวจเช็กอาการปวดหัวของเราก่อนว่ามีความรุนแรงขนาดไหน ปวดหัวทุกครั้งที่ออกกำลังกายเลยหรือเปล่า เมื่อค่อนข้างได้ข้อมูลที่ครบถ้วนแล้วก็ไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจจะจ่ายยาแก้ปวดมาให้รับประทาน และแนะนำวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเราต่อไป

12. ปวดหัวเพราะกินอาหารซ้ำ ๆ เดิม ๆ

          ไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมบริโภคอาหารซ้ำซากจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการปวดหัวได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่ชอบกินอาหารรสหวาน อาหารสำเร็จรูปเมนูเดิม ๆ หนักไปทางไขมันและชีส ผลสำรวจจาก Centers for Disease Control  ก็บอกว่าอาหารไม่มีประโยชน์เหล่านี้แหละตัวดีที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวเลยล่ะ และใครไม่อยากปวดหัวบ่อย ๆ อีกต่อไป ลองเปลี่ยนมากินแป้งไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ และอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปดูบ้าง เชื่อสิว่าถ้าปรับพฤติกรรมแล้ว อาการปวดหัวบ่อย ๆ ของคุณจะหายไป !

13. อาการภูมิแพ้
          อาการภูมิแพ้ของบางคนไม่ได้มาในรูปฟึดฟัด หายใจไม่ออก น้ำมูกน้ำตาไหล แต่มาในรูปแบบของอาการปวดหัวก็มีค่ะ โดยบางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองไวต่อสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้ ดังนั้นลองสังเกตตัวเองดูว่ารู้สึกปวดหัวตอนไหนแบบเจาะจงได้บ้าง เช่น ปวดหัวทุกครั้งที่ได้กลิ่นกาแฟ ปวดหัวทุกครั้งที่อยู่ในห้องเหม็นอับ หรือปวดหัวทุกครั้งที่เดินผ่านดงดอกไม้เยอะ ๆ และมักจะปวดหัวแบบเวียน ๆ มึน ๆ ร่วมกับอาการคัดจมูก เหมือนจะเป็นไข้ ถ้าพบว่าอาการเหล่านี้ใช่ก็พบแพทย์ได้เลย

ปวดหัว

14. ความดันโลหิตสูง

          ในกรณีที่ปวดหัวทุกวัน โดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ได้นอนไม่พอ และไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการปวดหัวใด ๆ เลย อาจเป็นไปได้ว่าอาการปวดหัวเรื้อรังที่คุณเป็นอยู่นั้นมีสาเหตุมาจากความดันโลหิตสูง ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงถือเป็นภัยเงียบแสนอันตราย เพราะมักจะไม่ปรากฏอาการใด ๆ คุณอาจมีอาการปวดหัวบ่อย ๆ มึนศีรษะเป็นบางครั้ง หรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ หลายคนจึงไม่เอะใจว่าอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของโรคความดันโลหิตสูง

          อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการปวดหัวเรื้อรัง ร่วมกับอาการข้างเคียงดังที่กล่าวมา และเป็นบุคคลที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจวัดความดันโลหิตของตัวเองเรื่อย ๆ เพื่อเช็กดูว่าความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงของเรามีมากน้อยแค่ไหน เพราะหากรู้ตัวว่าเป็นความดันโลหิตสูงในระยะเริ่มต้น เราก็พอมีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายมากกว่าการรับประทานยาไปตลอดชีวิต ซึ่

15. ป่วยโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Disorder)
          อาการปวดหัวเรื้อรังในบางเคส สามารถบอกสัญญาณของโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองในระยะเริ่มต้นได้ โดยหากคุณมีอาการปวดหัวทุกวันแต่ไม่ได้เกิดจากสาเหตุตามข้อไหนในที่กล่าวมาแล้วเลย แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งดีกว่านะคะ

          อาการปวดหัวเป็นอาการป่วยสามัญที่เกิดกับทุกคนบ่อย ๆ ก็จริง แต่ภายใต้อาการปวดหัวที่เราเป็นกันต่าง ๆ นานานั้น บางกรณีก็ไม่น่าห่วงเท่าไร แต่บางกรณีก็ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพร่างกาย ก็อย่าละเลยอาการป่วยของตัวเองเลยดีกว่านะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
elitedaily
health
womenshealthmag
boston