น่ากลัวมากอยากให้ได้อ่านกัน! กรรมจากการฆ่าตัวตาย จะต้องไปฆ่าตัวตายอีก ๕๐๐ ชาติ
ดูไว้ ! การฆ่าตัวตาย ในชาตินี้ ต้อง ฆ่าตัวตายอีก 500 ชาติเพิ่งสังวรไว้
เวียนว่ายตายเกิด และ กฏแห่งกรรมมีจริง – กรรมจากการฆ่าตัวตาย จะต้องไปฆ่าตัวตายอีก ๕๐๐ ชาติ
อัตวิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) บุญที่ได้จากการทำทาน รักษาศีล ยังช่วยเขามิได้ และบุญที่เขาจะรับได้ต้องเป็นบุญจากการปฏิบัติกรรมฐาน …
๑. ปาณาติบาต มีองค์ ๕
๑. ปาโณ สัตว์นั้นมีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม ทำความเพียรเพื่อฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายเพราะความเพียรนั้น
“การ ฆ่าตัวตายถือว่า ไม่ล่วงกรรมบทเป็นปาณาติบาต เพราะการที่ฆ่าตัวเองตายนั้นย่อมไม่ครบองค์ห้า คือขาดข้อปาณสัญญุตา คือรู้ว่าสัตว์มีชีวิตนี่ แต่ไม่ได้มุ่งหมายเอาตัวเอง หมายเอาสัตว์อื่นๆ ที่นอกจากตนเท่านั้น
ถาม – การฆ่าตัวตายถือเป็นปาณาติบาตหรือเปล่าคะ?
การ ฆ่าตัวตายไม่ใช่ปาณาติบาต แต่เป็นอัตวินิบาต เป็นกรรมคนละอย่างครับ ปาณาติบาตคือปลงชีวิตสัตว์อื่น มีผลให้ชีวิตของสัตว์อื่นขาดก่อนถึงอายุขัย พรากสิทธิ์ในการมีชีวิตไปจากเขา โดยเฉพาะหากเขามีบุญมาก ก็เท่ากับตัดโอกาสเสวยสุขของเขาทิ้งทั้งยวง ส่วนอัตวินิบาตคือการปลงชีวิตตนเอง มีผลให้ไม่ได้ใช้กรรมที่ควรใช้ก่อนถึงอายุขัย โดยเฉพาะหากมีบาปมาก ก็เท่ากับพยายามแหกคุกเพื่อหนีโทษด้วยทางลัด
การไม่รอให้มีการล้างไพ่ ใหม่ตามกาล จัดเป็นการตัดตอน สร้างปมยุ่งเหยิงขึ้น ไม่ให้เป็นไปตามวิถีธรรมชาติกรรมวิบาก เปรียบกับหนี้ก็ซับซ้อนกว่าหนี้ชนิดไหนๆ เนื่องจากการทบหนี้กรรมนั้นแตกต่างจากการทบต้นทบดอกของหนี้สินเงินทองมาก ถ้าคุณฆ่าคนมีบุญ โอกาสเสวยบุญของเขาที่ถูกตัดทิ้ง ย่อมสะท้อนกลับมาเป็นความหมดโอกาสเสวยบุญของคุณเช่นกัน คุณจะมีอายุมากในอัตภาพที่เป็นทุกข์ แต่จะมีอายุสั้นในอัตภาพที่เป็นสุข
และ ถ้าฆ่าตัวเองขณะต้องใช้บาป การหนีโทษย่อมเป็นการเพิ่มโทษในตัวเอง ทุกข์ที่ยังไม่เสวยก็ต้องเสวยอยู่ดี แถมพ่วงทุกข์อันเกิดจากการพยายามแหกคุกเข้าไปอีกกระทง นั่นคือแทนที่จะต้องทนทุกข์ในสภาพมนุษย์ตามเดิม ก็ต้องไปทนทุกข์ในสภาพเปรต สภาพเดรัจฉาน หรือสภาพสัตว์นรก ซึ่งเป็นอัตภาพที่แย่หนักเข้าไปใหญ่
ข้อ แตกต่างระหว่างปาณาติบาตกับอัตวินิบาตยังมีอีกมาก เช่น ปาณาติบาตมีผลในกาลต่อไปเป็นความโหดเหี้ยมของจิตใจ มีใบหน้าเหี้ยมเกรียม มีความเดือดร้อนเรื่องสุขภาพกาย อาจถูกรังแก อาจถูกฆ่าให้ตายก่อนวัยอันควร ส่วนอัตวินิบาตมีผลในกาลต่อไปเป็นความอ่อนแอทางใจ มีใบหน้าเศร้าหมอง มีความเดือดร้อนเรื่องสุขภาพจิต คิดมากและน้อยใจเก่ง รู้สึกอ่อนแอ อยากตายด้วยเหตุบีบคั้นแค่ง่ายๆ เป็นต้น
การฆ่านั้น ไม่ว่าฆ่าผู้อื่นหรือฆ่าตนเอง ย่อมได้ชื่อว่าทำจิตให้เศร้าหมอง เมื่อจิตเศร้าหมองย่อมมีคติวิบัติเป็นที่หวัง แต่หากฆ่าตนเองโดยไม่มีจิตเศร้าหมอง ทำจิตให้ขาดจากอุปาทานว่าเป็นตัวตน อันนั้นพระพุทธเจ้าสรรเสริญ การสิ้นชีวิตขณะไร้อุปาทานไม่ถือเป็นบาปด้วยประการทั้งปวง ที่ทำอย่างนั้นได้ก็มีแต่ผู้ศึกษาธรรมจนเข้าใจ และปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงแล้วเท่านั้นครับ
– มนุษย์ปกติจะรักตัวเองมากที่สุด แต่ถ้าคิดฆ่าตนเองได้ แสดงว่า จิตเศร้าหมองมาก ถ้าฆ่าตัวเองด้วยจิตเศร้าหมองแล้ว ไปอบายแน่นอน จะตีความว่า ผิดศีลข้อ 1 หรือไม่ คิดว่าไม่สำคัญ เพราะการกระทำเป็นกรรมชั่วที่ร้ายแรงกว่าทำร้ายผู้อื่นอีก เมื่อตายไป ต้องตกนรก ถ้ากลับมาเป็นมนุษย์ก็ต้องอายุสั้นและคิดฆ่าตัวตายอีก วนเวียนอย่างอีก ๕๐๐ ชาติกว่ากรรมจะเบาบางลง
– พระอรหันต์ท่านไม่ฆ่าตัวเองแน่นอน (คนละกรณีกับการสละชีวิต เพื่อสร้างบารมี) เพราะท่านหมดกิเลสคือความเศร้าหมองใดๆแล้ว ถึงแม้ท่านจะได้รับทุกขเวทนาต่างๆ จิตใจท่านก็ไม่เศร้าหมอง จึงไม่มีเชื้ออะไรทำให้ท่านฆ่าตัวตายได้
1. ตายตามธรรมชาติสังขาร
– เข้านอนตามปกติ แล้วหลับไปตลอดกาล
2. ตายด้วยอุบัติเหตุ
– หยิบขวดยาผิด กินแล้วหลับไป ไม่ฟื้นอีกเลย
3. ตายเพราะถูกประหารชีวิต
– โดนประหารด้วยปุ่มยาพิษ 3 สี
4. ตายเพราะถูกสัตว์ฆ่า
– โดนงูกัดตาย
5. ตายเพราะภัยธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ
– เดินเล่นอยู่บนเขา ดินถล่ม หินก้อนใหญ่ตกใส่กลางกบาล ตายทันที
6. ตายด้วยอัตนิวิบาตกรรม(ฆ่าตัวตาย)
– กินยานอนหลับทีเดียวหมดขวด
7. ตายเยี่ยงวีรบุรุษ วีรสตรี
– ตายเพื่อปกป้องการ์ตูน (ในสายตาคนบ้าการ์ตูน)
8. แล้วถ้าตายแบบผู้ร้ายล่ะ
– ตายเพราะบ้าการ์ตูนเกินเหตุ (ในสายตาคนเกลียดการ์ตูน)
9. ตายแบบไหนที่ต้องการมากที่สุด ไม่จำกัดประเภท
– ข้อ 1
10. ตายแบบไหนที่ไม่เอาเด็ดขาด
– ทุกข้อยกเว้นข้อ 1
คนฆ่าตัวตายมีหลายแบบครับ ขอจำแนกตามวิธีคิดแบบคนตั้งใจจะตาย โดยไม่มีโรคหรืออาการประสาทหลอนเข้ามาเกี่ยวข้องดังนี้
๑) คิดดับชีวิตหนีความทุกข์
เป็นการฆ่าตัวตายที่พบเห็นบ่อยสุด น่าจะกล่าวได้ว่าเกิน ๙๐% ของการฆ่าตัวตายเข้าข่ายหนีทุกข์ทั้งสิ้น
ทุกข์ มีหลายแบบ ทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ ทุกข์เพราะทนภาวะกดดันทางใจไม่ไหว ทุกข์เพราะความเบื่อกัดกินจนไม่เหลือชีวิตชีวาเลยสักนิด ฯลฯ กล่าวโดยสรุปคือเกลียดทุกข์มาก ผู้ฆ่าตัวตายด้วยความเกลียดทุกข์ ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นโทสะ
การฆ่าตัวตายหนีทุกข์มักมีจิตที่ เศร้าหมองเป็นทุน และเมื่อถึงเวลาปลิดชีพตนเองก็ต้องอาศัยโทสะขั้นแรงกล้า เป็นตัวขับดันให้ลงมือกระทำอัตวินิบาตกรรมสำเร็จ ฉะนั้นคงไม่ต้องเดากันเลยว่าจิตจะเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะแน่นอนว่าต้องเป็นอกุศลเต็มๆ เรียกว่ามืดกันแบบเน้นๆนั่นแหละ
มอง เผินๆคุณหลายคนอาจคิดว่าคนฆ่าตัวตายเขาปล่อยวางได้ เขาไม่เสียดายชีวิตและกล้าหาญที่จะเผชิญความตายแล้ว แต่หากคุณเห็นอาการของจิตคนจริงๆ ก็จะพบว่าเป็นตรงข้ามเลยครับ คนคิดฆ่าตัวตายหนีทุกข์นั้นขาดความกล้าที่จะเอาชนะทุกข์ และจิตเขาก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นว่าการตายเร็วเป็นของดี การจบชีวิตเป็นเรื่องต้องเร่งรีบ
ความยึดมั่นถือมั่นอย่างรุนแรงใน สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักเป็นนิสัยติดตัวข้ามภพข้ามชาติเสมอ นั่นเองคนที่เคยฆ่าตัวตายมาก่อนจึงมีแนวโน้มที่จะต้องฆ่าตัวตายอีก การฆ่าตัวตายซ้ำจึงไม่ใช่เพราะเป็นผลกรรมที่เกิดจากการเคยฆ่าตัวตาย แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าการตัดช่องน้อยแต่พอตัวคือของดีต่างหาก
พวก ที่ไม่สู้ชีวิตย่อมได้ชื่อว่าอ่อนแอกับการมีชีวิต ยอมแพ้ชีวิต เพราะฉะนั้นรูปชีวิตต่อๆไปก็มักมีพื้นนิสัยอ่อนไหวไม่อยากทนอะไร โดนเหยียบโดนย่ำนิดๆหน่อยๆก็อยากยอมแพ้ชีวิตอีกและอีก
แล้วมีความ จริงอยู่อย่างหนึ่งนะครับ หนี้เงินนั้นหนีได้ แต่หนี้กรรมนั้นไม่มีทางเลย หากยังใช้หนี้กรรมไม่หมดแล้วคิดหนี ก็ต้องไปใช้หนี้ต่อในอบายภูมิ ซึ่งจะแย่กว่าเดิมมาก แถมเมื่อบุญเก่าตามมาช้อนทัน เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ต้องเจอเรื่องน่าท้ออีก อยากฆ่าตัวตายอีก
การ เวียนฆ่าตัวตายซ้ำซากประเภทนี้ จะยุติได้ก็ด้วยเหตุปัจจัยอันเป็นตรงข้ามกัน นั่นคือต้องเกิดเป็นมนุษย์สักชาติหนึ่ง พบกัลยาณมิตรหรือครูผู้ชี้ทางถูกทางตรง ทำความเข้าใจเรื่องกรรมวิบาก บ่มเพาะความเข้มแข็งให้กับจิตใจ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าการปลิดชีพหนีทุกข์เป็นของดี มองเห็นการตายแบบเศร้าหมองโดยความเป็นโทษ เป็นภัย เป็นการหาเรื่องลงอบาย เท่านี้จิตใจก็จะเข้มแข็งขึ้น
เมื่อตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายทั้งที่ สถานการณ์บีบคั้นให้คิดอยากฆ่าตัวตายแล้ว ก็จะถอนตัวออกมาจากภพของนักฆ่าตัวตายทีละครั้ง ทีละหน จนกระทั่งเข้มแข็งอดทนได้ในทุกสถานการณ์ ภายในชาติเดียวนั้นเองเขาก็มีสิทธิ์หลุดจากภพของนักฆ่าตัวตายได้อย่างเด็ด ขาด แม้เกิดใหม่เผชิญทุกข์ก็จะไม่คิดหาทางออกตื้นๆด้วยการฆ่าตัวตายอีก
๒) คิดหวังภพหน้าตามความเชื่อ
เป็น การฆ่าตัวตายที่ไม่เห็นได้บ่อยนัก แต่ก็มีอยู่เรื่อยๆ และถ้าความเชื่อแบบใดล้าสมัย ก็จะมีความเชื่อใหม่ๆที่ทันยุคทันสมัยมาชวนคนไปฆ่าตัวตายได้ตลอด
ไม่ ว่าจะเป็นความเชื่อแบบไหน ลงถ้าทำให้ตัดสินใจทิ้งชีวิตดีๆได้ ก็แปลว่าต้องมีมูลเหตุล่อใจ ไม่ว่าจะหวังสวรรค์ หวังบูชาซาตาน หรือหวังไปเป็นเพื่อนมนุษย์ต่างดาว กล่าวโดยสรุปคืออยากได้ภาวะหลังความตายตามที่ตนเองเชื่อ ผู้ฆ่าตัวตายด้วยหวังพบสุข ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นโลภะ
เมื่อยัง ไม่ถึงเวลาตาย แต่รีบอยากตายเอาถ้วย จิตย่อมเหนียวเหนอะหนะด้วยยางคือตัณหา มีโลภะแรงกล้าพอจะตัดชีวิตมนุษย์ทิ้ง ฉะนั้นจึงต้องบอกว่าเขาตายด้วยอกุศลจิตอย่างแน่นอน ขึ้นชื่อว่าอกุศลย่อมต้องมืด ส่วนจะมืดมากหรือมืดน้อยก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดความเชื่อของแต่ละเจ้า เช่นฟังเขามาว่าถ้าเซ่นชีวิตบูชาซาตาน ซาตานจะมอบธิดาให้เชยชมอย่างสนุก อันนั้นจะมืดกว่าพวกที่ฆ่าตัวตายหวังไปเป็นสหายแห่งเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาว เพราะรู้ทั้งรู้ว่าซาตานเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่ละอายบาป
ความยึด มั่นผิดๆ มีทิฏฐิผิดๆ ย่อมติดตัวนักฆ่าตัวตายไปแม้กายนี้แตกดับแล้ว ฉะนั้นจึงมีโอกาสสูงที่เขาจะพบกับครูผู้สอนผิด สอนให้คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วก็หัวอ่อนเชื่อง่ายตามไปโดยไม่นึกอยากคัดค้านอีก
เดรัจฉานก็มี ความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกมันอย่างหนึ่ง เปรตก็มีความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกมันอย่างหนึ่ง เทวดาก็มีความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกท่านอย่างหนึ่ง ในภพภูมิเหล่านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเชื่อได้ เนื่องจากวิบากเก่าบันดาลร่าง บันดาลสิ่งแวดล้อม และบันดาลจิตสำนึกให้คงเส้นคงวาตั้งแต่เกิดจนตาย จึงมีความยึดมั่นและความเชื่อที่ยากจะมีอะไรมาปรับเปลี่ยน
แต่สำหรับ ภพมนุษย์นั้นถือว่าโชคดีกว่าสัตว์เหล่าอื่น เพราะร่างกายปรวนแปรได้เรื่อยๆ สิ่งแวดล้อมปรวนแปรได้เรื่อยๆ มีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ กับทั้งจดจำอดีตกรรมในชาติปางก่อนไม่ได้ เสมือนมีชีวิตอยู่แค่ชาติเดียวครั้งเดียว จิตสำนึกและความคิดอ่านจึงปรวนแปรไปได้เรื่อยๆเช่นกัน ฉะนั้นขอเพียงมีโอกาสเจอครูผู้นำทางถูก ทางตรง ทางสว่างมาล้างมิจฉาทิฏฐิเก่าๆออกจากใจได้ ก็จะหยุดโลภ หยุดฆ่าตัวตายหวังภพภูมิกันในทันทีที่เข้าใจถูก เข้าใจตรง เข้าใจกระจ่างสว่างแจ้งเต็มภูมิ
๓) คิดใช้การตายของตนสงเคราะห์ผู้อื่น
เป็นการฆ่าตัวตายที่มีโอกาสเห็นได้น้อยที่สุด คุณต้องเกิดเป็นมนุษย์หลายๆชาติจึงอาจเจอคนใกล้ตัวจบชีวิตตนเองเพื่อคนอื่นสักครั้ง
เรื่อง ตัวอย่างที่มักยกมาอ้างอิงกันมากเห็นจะได้แก่ฤาษีตนหนึ่ง เห็นจากปากเหวว่าแม่เสือหิวกำลังจะกินลูกของตัวเอง จึงเกิดความเวทนา โดดเหวด้วยความตั้งใจสละร่างของตนเป็นอาหารให้แม่เสือ
ความจริงฤาษี ไม่ได้อยากจะตาย ชนวนเริ่มต้นมาจากความเมตตาอยากสงเคราะห์ จึงไม่ใช่การ ‘ฆ่าตัวตายเพื่อตนเอง’ ควรเรียกว่าเป็นการ ‘ยอมตายเพื่อผู้อื่น’ มากกว่า กล่าวโดยสรุปคือถ้าสละเลือดเนื้ออันเป็นที่รักของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อ ผู้อื่นได้ ไม่มีความคิดหนีทุกข์หรือหวังภพภูมิอื่นแอบแฝง ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นเมตตา
เมตตาจิตที่ยอมสละชีพเพื่อประโยชน์ สุขของผู้อื่นได้นั้น ต้องมีความห้าวหาญ หนักแน่นมั่นคงยิ่งยวด เมื่อกระแสเมตตาการุณย์บวกเข้ากับความหนักแน่นมั่นคง จึงรวมดวงเด่นเป็นฌาน หลังกายดับจึงเข้าสู่ความเป็นสหายแห่งพรหม ซึ่งอยู่เหนือกามภูมิ สูงส่งประณีตกว่าเทวดานางฟ้ามากมาย
ผู้ที่สละชีพเพื่อคนอื่นได้นั้น เกิดใหม่จะมีใจใหญ่ สามารถทำอะไรเพื่อคนอื่นโดยไม่เห็นแก่ตนเอง ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องติดนิสัยสละชีพซ้ำๆทุกชาติ เนื่องจากแต่ละสถานการณ์เลวร้ายมีหนทางช่วยได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตพลีชีพเป็นทานเสมอไป
อย่างเช่นท่านฤาษีใน ตัวอย่างข้างต้นนั้น ท่านก็เห็นว่าตนเองมีอายุพอสมควร สั่งสอนสานุศิษย์มานานพอ ไม่มีอะไรข้างหลังให้เป็นห่วง ท่านจึงไม่อาลัยไยดีในโครงกระดูกฉาบเนื้อที่รอวันผุพังในเร็ววันนั้น แต่หากท่านยังหนุ่มแน่น ยังไม่บำเพ็ญตบะจนบรรลุฌานตามจุดมุ่งหมายใหญ่ของชีวิต ท่านก็อาจข่มความสงสารไว้ รักษาเลือดเนื้อไว้ทำประโยชน์ให้ถึงที่สุดเสียก่อน
ความจริงยังมี วิธีสละชีพอีกหลายแบบ ขอกล่าวเปรียบเทียบไว้ด้วยว่า การสละชีพเพื่อคนอื่นไม่จำเป็นต้องมีมหากุศลจิตเป็นจิตสุดท้ายเสมอไป อย่างเช่นบางท่านรู้ตัวว่าเป็นคนดัง ถ้าฆ่าตัวตายจะเป็นข่าวใหญ่เรียกร้องความสนใจจากประชาชน สามารถกดดันให้แก้กฎหมายผิดๆได้ ถ้าหากจิตยังเคลือบอยู่ด้วยความเศร้าหมอง มีความท้อใจกับกระบวนการยุติธรรมอยู่ อันนี้ก็ตั้งมั่นเป็นฌานแบบท่านฤาษีไม่ได้นะครับ ให้เป็นกุศลที่สุดก็ได้แค่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องกันใหม่อีก
สรุปโดยรวมแล้ว การฆ่าตัวตายหรือการยอมตายเริ่มมาจากวิธีคิดที่แตกต่าง มีความเป็นไปได้หลากหลาย ไม่ใช่อะไรที่ตายตัว
คุณ อาจเคยได้ยินมาว่าถ้าฆ่าตัวตายครั้งหนึ่ง จะต้องฆ่าตัวตายซ้ำอีก ๕๐๐ ชาตินั้น เป็นเพียงความเชื่อที่สืบๆกันมานะครับ ไม่ใช่ความจริงอันเป็นสากล โบราณาจารย์ท่านเพียงระบุไว้คร่าวๆเพื่อให้เห็นความน่ากลัวของการฆ่าตัวตาย ว่ามีผลให้จิตใจอ่อนแอและต้องปลิดชีพตนเองอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเป็นกฎตายตัวว่าฆ่าตัวตายหนึ่งครั้งต้องฆ่าตัวตายซ้ำอีก ๕๐๐ หน อย่างนี้มิแปลว่าต้องเอา ๕๐๐ คูณเข้าไปในการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ?
ชีวิต เป็นของมีค่า ได้มาโดยยาก หากคุณไม่เห็นค่า ชีวิตก็ไม่ง้อและยินยอมให้ทำลายได้ง่ายๆ แค่เอามืออุดปากอุดจมูกเดี๋ยวเดียวก็ม่องเท่งแล้ว แต่การพยายามเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดานี่สิ คุณต้องสั่งสมบุญกุศลกันเหงื่อไหลไคลย้อยแรมปีเลยล่ะกว่าจะได้มา
ขอบคุณเนื้อหาจาก :: vipassana.de.tl และ saraupdate
ดูไว้ ! การฆ่าตัวตาย ในชาตินี้ ต้อง ฆ่าตัวตายอีก 500 ชาติเพิ่งสังวรไว้
เวียนว่ายตายเกิด และ กฏแห่งกรรมมีจริง – กรรมจากการฆ่าตัวตาย จะต้องไปฆ่าตัวตายอีก ๕๐๐ ชาติ
อัตวิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) บุญที่ได้จากการทำทาน รักษาศีล ยังช่วยเขามิได้ และบุญที่เขาจะรับได้ต้องเป็นบุญจากการปฏิบัติกรรมฐาน …
๑. ปาณาติบาต มีองค์ ๕
๑. ปาโณ สัตว์นั้นมีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม ทำความเพียรเพื่อฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายเพราะความเพียรนั้น
“การ ฆ่าตัวตายถือว่า ไม่ล่วงกรรมบทเป็นปาณาติบาต เพราะการที่ฆ่าตัวเองตายนั้นย่อมไม่ครบองค์ห้า คือขาดข้อปาณสัญญุตา คือรู้ว่าสัตว์มีชีวิตนี่ แต่ไม่ได้มุ่งหมายเอาตัวเอง หมายเอาสัตว์อื่นๆ ที่นอกจากตนเท่านั้น
ถาม – การฆ่าตัวตายถือเป็นปาณาติบาตหรือเปล่าคะ?
การ ฆ่าตัวตายไม่ใช่ปาณาติบาต แต่เป็นอัตวินิบาต เป็นกรรมคนละอย่างครับ ปาณาติบาตคือปลงชีวิตสัตว์อื่น มีผลให้ชีวิตของสัตว์อื่นขาดก่อนถึงอายุขัย พรากสิทธิ์ในการมีชีวิตไปจากเขา โดยเฉพาะหากเขามีบุญมาก ก็เท่ากับตัดโอกาสเสวยสุขของเขาทิ้งทั้งยวง ส่วนอัตวินิบาตคือการปลงชีวิตตนเอง มีผลให้ไม่ได้ใช้กรรมที่ควรใช้ก่อนถึงอายุขัย โดยเฉพาะหากมีบาปมาก ก็เท่ากับพยายามแหกคุกเพื่อหนีโทษด้วยทางลัด
การไม่รอให้มีการล้างไพ่ ใหม่ตามกาล จัดเป็นการตัดตอน สร้างปมยุ่งเหยิงขึ้น ไม่ให้เป็นไปตามวิถีธรรมชาติกรรมวิบาก เปรียบกับหนี้ก็ซับซ้อนกว่าหนี้ชนิดไหนๆ เนื่องจากการทบหนี้กรรมนั้นแตกต่างจากการทบต้นทบดอกของหนี้สินเงินทองมาก ถ้าคุณฆ่าคนมีบุญ โอกาสเสวยบุญของเขาที่ถูกตัดทิ้ง ย่อมสะท้อนกลับมาเป็นความหมดโอกาสเสวยบุญของคุณเช่นกัน คุณจะมีอายุมากในอัตภาพที่เป็นทุกข์ แต่จะมีอายุสั้นในอัตภาพที่เป็นสุข
และ ถ้าฆ่าตัวเองขณะต้องใช้บาป การหนีโทษย่อมเป็นการเพิ่มโทษในตัวเอง ทุกข์ที่ยังไม่เสวยก็ต้องเสวยอยู่ดี แถมพ่วงทุกข์อันเกิดจากการพยายามแหกคุกเข้าไปอีกกระทง นั่นคือแทนที่จะต้องทนทุกข์ในสภาพมนุษย์ตามเดิม ก็ต้องไปทนทุกข์ในสภาพเปรต สภาพเดรัจฉาน หรือสภาพสัตว์นรก ซึ่งเป็นอัตภาพที่แย่หนักเข้าไปใหญ่
ข้อ แตกต่างระหว่างปาณาติบาตกับอัตวินิบาตยังมีอีกมาก เช่น ปาณาติบาตมีผลในกาลต่อไปเป็นความโหดเหี้ยมของจิตใจ มีใบหน้าเหี้ยมเกรียม มีความเดือดร้อนเรื่องสุขภาพกาย อาจถูกรังแก อาจถูกฆ่าให้ตายก่อนวัยอันควร ส่วนอัตวินิบาตมีผลในกาลต่อไปเป็นความอ่อนแอทางใจ มีใบหน้าเศร้าหมอง มีความเดือดร้อนเรื่องสุขภาพจิต คิดมากและน้อยใจเก่ง รู้สึกอ่อนแอ อยากตายด้วยเหตุบีบคั้นแค่ง่ายๆ เป็นต้น
การฆ่านั้น ไม่ว่าฆ่าผู้อื่นหรือฆ่าตนเอง ย่อมได้ชื่อว่าทำจิตให้เศร้าหมอง เมื่อจิตเศร้าหมองย่อมมีคติวิบัติเป็นที่หวัง แต่หากฆ่าตนเองโดยไม่มีจิตเศร้าหมอง ทำจิตให้ขาดจากอุปาทานว่าเป็นตัวตน อันนั้นพระพุทธเจ้าสรรเสริญ การสิ้นชีวิตขณะไร้อุปาทานไม่ถือเป็นบาปด้วยประการทั้งปวง ที่ทำอย่างนั้นได้ก็มีแต่ผู้ศึกษาธรรมจนเข้าใจ และปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงแล้วเท่านั้นครับ
– มนุษย์ปกติจะรักตัวเองมากที่สุด แต่ถ้าคิดฆ่าตนเองได้ แสดงว่า จิตเศร้าหมองมาก ถ้าฆ่าตัวเองด้วยจิตเศร้าหมองแล้ว ไปอบายแน่นอน จะตีความว่า ผิดศีลข้อ 1 หรือไม่ คิดว่าไม่สำคัญ เพราะการกระทำเป็นกรรมชั่วที่ร้ายแรงกว่าทำร้ายผู้อื่นอีก เมื่อตายไป ต้องตกนรก ถ้ากลับมาเป็นมนุษย์ก็ต้องอายุสั้นและคิดฆ่าตัวตายอีก วนเวียนอย่างอีก ๕๐๐ ชาติกว่ากรรมจะเบาบางลง
– พระอรหันต์ท่านไม่ฆ่าตัวเองแน่นอน (คนละกรณีกับการสละชีวิต เพื่อสร้างบารมี) เพราะท่านหมดกิเลสคือความเศร้าหมองใดๆแล้ว ถึงแม้ท่านจะได้รับทุกขเวทนาต่างๆ จิตใจท่านก็ไม่เศร้าหมอง จึงไม่มีเชื้ออะไรทำให้ท่านฆ่าตัวตายได้
1. ตายตามธรรมชาติสังขาร
– เข้านอนตามปกติ แล้วหลับไปตลอดกาล
2. ตายด้วยอุบัติเหตุ
– หยิบขวดยาผิด กินแล้วหลับไป ไม่ฟื้นอีกเลย
3. ตายเพราะถูกประหารชีวิต
– โดนประหารด้วยปุ่มยาพิษ 3 สี
4. ตายเพราะถูกสัตว์ฆ่า
– โดนงูกัดตาย
5. ตายเพราะภัยธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ
– เดินเล่นอยู่บนเขา ดินถล่ม หินก้อนใหญ่ตกใส่กลางกบาล ตายทันที
6. ตายด้วยอัตนิวิบาตกรรม(ฆ่าตัวตาย)
– กินยานอนหลับทีเดียวหมดขวด
7. ตายเยี่ยงวีรบุรุษ วีรสตรี
– ตายเพื่อปกป้องการ์ตูน (ในสายตาคนบ้าการ์ตูน)
8. แล้วถ้าตายแบบผู้ร้ายล่ะ
– ตายเพราะบ้าการ์ตูนเกินเหตุ (ในสายตาคนเกลียดการ์ตูน)
9. ตายแบบไหนที่ต้องการมากที่สุด ไม่จำกัดประเภท
– ข้อ 1
10. ตายแบบไหนที่ไม่เอาเด็ดขาด
– ทุกข้อยกเว้นข้อ 1
คนฆ่าตัวตายมีหลายแบบครับ ขอจำแนกตามวิธีคิดแบบคนตั้งใจจะตาย โดยไม่มีโรคหรืออาการประสาทหลอนเข้ามาเกี่ยวข้องดังนี้
๑) คิดดับชีวิตหนีความทุกข์
เป็นการฆ่าตัวตายที่พบเห็นบ่อยสุด น่าจะกล่าวได้ว่าเกิน ๙๐% ของการฆ่าตัวตายเข้าข่ายหนีทุกข์ทั้งสิ้น
ทุกข์ มีหลายแบบ ทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ ทุกข์เพราะทนภาวะกดดันทางใจไม่ไหว ทุกข์เพราะความเบื่อกัดกินจนไม่เหลือชีวิตชีวาเลยสักนิด ฯลฯ กล่าวโดยสรุปคือเกลียดทุกข์มาก ผู้ฆ่าตัวตายด้วยความเกลียดทุกข์ ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นโทสะ
การฆ่าตัวตายหนีทุกข์มักมีจิตที่ เศร้าหมองเป็นทุน และเมื่อถึงเวลาปลิดชีพตนเองก็ต้องอาศัยโทสะขั้นแรงกล้า เป็นตัวขับดันให้ลงมือกระทำอัตวินิบาตกรรมสำเร็จ ฉะนั้นคงไม่ต้องเดากันเลยว่าจิตจะเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะแน่นอนว่าต้องเป็นอกุศลเต็มๆ เรียกว่ามืดกันแบบเน้นๆนั่นแหละ
มอง เผินๆคุณหลายคนอาจคิดว่าคนฆ่าตัวตายเขาปล่อยวางได้ เขาไม่เสียดายชีวิตและกล้าหาญที่จะเผชิญความตายแล้ว แต่หากคุณเห็นอาการของจิตคนจริงๆ ก็จะพบว่าเป็นตรงข้ามเลยครับ คนคิดฆ่าตัวตายหนีทุกข์นั้นขาดความกล้าที่จะเอาชนะทุกข์ และจิตเขาก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นว่าการตายเร็วเป็นของดี การจบชีวิตเป็นเรื่องต้องเร่งรีบ
ความยึดมั่นถือมั่นอย่างรุนแรงใน สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักเป็นนิสัยติดตัวข้ามภพข้ามชาติเสมอ นั่นเองคนที่เคยฆ่าตัวตายมาก่อนจึงมีแนวโน้มที่จะต้องฆ่าตัวตายอีก การฆ่าตัวตายซ้ำจึงไม่ใช่เพราะเป็นผลกรรมที่เกิดจากการเคยฆ่าตัวตาย แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าการตัดช่องน้อยแต่พอตัวคือของดีต่างหาก
พวก ที่ไม่สู้ชีวิตย่อมได้ชื่อว่าอ่อนแอกับการมีชีวิต ยอมแพ้ชีวิต เพราะฉะนั้นรูปชีวิตต่อๆไปก็มักมีพื้นนิสัยอ่อนไหวไม่อยากทนอะไร โดนเหยียบโดนย่ำนิดๆหน่อยๆก็อยากยอมแพ้ชีวิตอีกและอีก
แล้วมีความ จริงอยู่อย่างหนึ่งนะครับ หนี้เงินนั้นหนีได้ แต่หนี้กรรมนั้นไม่มีทางเลย หากยังใช้หนี้กรรมไม่หมดแล้วคิดหนี ก็ต้องไปใช้หนี้ต่อในอบายภูมิ ซึ่งจะแย่กว่าเดิมมาก แถมเมื่อบุญเก่าตามมาช้อนทัน เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ต้องเจอเรื่องน่าท้ออีก อยากฆ่าตัวตายอีก
การ เวียนฆ่าตัวตายซ้ำซากประเภทนี้ จะยุติได้ก็ด้วยเหตุปัจจัยอันเป็นตรงข้ามกัน นั่นคือต้องเกิดเป็นมนุษย์สักชาติหนึ่ง พบกัลยาณมิตรหรือครูผู้ชี้ทางถูกทางตรง ทำความเข้าใจเรื่องกรรมวิบาก บ่มเพาะความเข้มแข็งให้กับจิตใจ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าการปลิดชีพหนีทุกข์เป็นของดี มองเห็นการตายแบบเศร้าหมองโดยความเป็นโทษ เป็นภัย เป็นการหาเรื่องลงอบาย เท่านี้จิตใจก็จะเข้มแข็งขึ้น
เมื่อตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายทั้งที่ สถานการณ์บีบคั้นให้คิดอยากฆ่าตัวตายแล้ว ก็จะถอนตัวออกมาจากภพของนักฆ่าตัวตายทีละครั้ง ทีละหน จนกระทั่งเข้มแข็งอดทนได้ในทุกสถานการณ์ ภายในชาติเดียวนั้นเองเขาก็มีสิทธิ์หลุดจากภพของนักฆ่าตัวตายได้อย่างเด็ด ขาด แม้เกิดใหม่เผชิญทุกข์ก็จะไม่คิดหาทางออกตื้นๆด้วยการฆ่าตัวตายอีก
๒) คิดหวังภพหน้าตามความเชื่อ
เป็น การฆ่าตัวตายที่ไม่เห็นได้บ่อยนัก แต่ก็มีอยู่เรื่อยๆ และถ้าความเชื่อแบบใดล้าสมัย ก็จะมีความเชื่อใหม่ๆที่ทันยุคทันสมัยมาชวนคนไปฆ่าตัวตายได้ตลอด
ไม่ ว่าจะเป็นความเชื่อแบบไหน ลงถ้าทำให้ตัดสินใจทิ้งชีวิตดีๆได้ ก็แปลว่าต้องมีมูลเหตุล่อใจ ไม่ว่าจะหวังสวรรค์ หวังบูชาซาตาน หรือหวังไปเป็นเพื่อนมนุษย์ต่างดาว กล่าวโดยสรุปคืออยากได้ภาวะหลังความตายตามที่ตนเองเชื่อ ผู้ฆ่าตัวตายด้วยหวังพบสุข ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นโลภะ
เมื่อยัง ไม่ถึงเวลาตาย แต่รีบอยากตายเอาถ้วย จิตย่อมเหนียวเหนอะหนะด้วยยางคือตัณหา มีโลภะแรงกล้าพอจะตัดชีวิตมนุษย์ทิ้ง ฉะนั้นจึงต้องบอกว่าเขาตายด้วยอกุศลจิตอย่างแน่นอน ขึ้นชื่อว่าอกุศลย่อมต้องมืด ส่วนจะมืดมากหรือมืดน้อยก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดความเชื่อของแต่ละเจ้า เช่นฟังเขามาว่าถ้าเซ่นชีวิตบูชาซาตาน ซาตานจะมอบธิดาให้เชยชมอย่างสนุก อันนั้นจะมืดกว่าพวกที่ฆ่าตัวตายหวังไปเป็นสหายแห่งเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาว เพราะรู้ทั้งรู้ว่าซาตานเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่ละอายบาป
ความยึด มั่นผิดๆ มีทิฏฐิผิดๆ ย่อมติดตัวนักฆ่าตัวตายไปแม้กายนี้แตกดับแล้ว ฉะนั้นจึงมีโอกาสสูงที่เขาจะพบกับครูผู้สอนผิด สอนให้คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วก็หัวอ่อนเชื่อง่ายตามไปโดยไม่นึกอยากคัดค้านอีก
เดรัจฉานก็มี ความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกมันอย่างหนึ่ง เปรตก็มีความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกมันอย่างหนึ่ง เทวดาก็มีความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกท่านอย่างหนึ่ง ในภพภูมิเหล่านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเชื่อได้ เนื่องจากวิบากเก่าบันดาลร่าง บันดาลสิ่งแวดล้อม และบันดาลจิตสำนึกให้คงเส้นคงวาตั้งแต่เกิดจนตาย จึงมีความยึดมั่นและความเชื่อที่ยากจะมีอะไรมาปรับเปลี่ยน
แต่สำหรับ ภพมนุษย์นั้นถือว่าโชคดีกว่าสัตว์เหล่าอื่น เพราะร่างกายปรวนแปรได้เรื่อยๆ สิ่งแวดล้อมปรวนแปรได้เรื่อยๆ มีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ กับทั้งจดจำอดีตกรรมในชาติปางก่อนไม่ได้ เสมือนมีชีวิตอยู่แค่ชาติเดียวครั้งเดียว จิตสำนึกและความคิดอ่านจึงปรวนแปรไปได้เรื่อยๆเช่นกัน ฉะนั้นขอเพียงมีโอกาสเจอครูผู้นำทางถูก ทางตรง ทางสว่างมาล้างมิจฉาทิฏฐิเก่าๆออกจากใจได้ ก็จะหยุดโลภ หยุดฆ่าตัวตายหวังภพภูมิกันในทันทีที่เข้าใจถูก เข้าใจตรง เข้าใจกระจ่างสว่างแจ้งเต็มภูมิ
๓) คิดใช้การตายของตนสงเคราะห์ผู้อื่น
เป็นการฆ่าตัวตายที่มีโอกาสเห็นได้น้อยที่สุด คุณต้องเกิดเป็นมนุษย์หลายๆชาติจึงอาจเจอคนใกล้ตัวจบชีวิตตนเองเพื่อคนอื่นสักครั้ง
เรื่อง ตัวอย่างที่มักยกมาอ้างอิงกันมากเห็นจะได้แก่ฤาษีตนหนึ่ง เห็นจากปากเหวว่าแม่เสือหิวกำลังจะกินลูกของตัวเอง จึงเกิดความเวทนา โดดเหวด้วยความตั้งใจสละร่างของตนเป็นอาหารให้แม่เสือ
ความจริงฤาษี ไม่ได้อยากจะตาย ชนวนเริ่มต้นมาจากความเมตตาอยากสงเคราะห์ จึงไม่ใช่การ ‘ฆ่าตัวตายเพื่อตนเอง’ ควรเรียกว่าเป็นการ ‘ยอมตายเพื่อผู้อื่น’ มากกว่า กล่าวโดยสรุปคือถ้าสละเลือดเนื้ออันเป็นที่รักของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อ ผู้อื่นได้ ไม่มีความคิดหนีทุกข์หรือหวังภพภูมิอื่นแอบแฝง ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นเมตตา
เมตตาจิตที่ยอมสละชีพเพื่อประโยชน์ สุขของผู้อื่นได้นั้น ต้องมีความห้าวหาญ หนักแน่นมั่นคงยิ่งยวด เมื่อกระแสเมตตาการุณย์บวกเข้ากับความหนักแน่นมั่นคง จึงรวมดวงเด่นเป็นฌาน หลังกายดับจึงเข้าสู่ความเป็นสหายแห่งพรหม ซึ่งอยู่เหนือกามภูมิ สูงส่งประณีตกว่าเทวดานางฟ้ามากมาย
ผู้ที่สละชีพเพื่อคนอื่นได้นั้น เกิดใหม่จะมีใจใหญ่ สามารถทำอะไรเพื่อคนอื่นโดยไม่เห็นแก่ตนเอง ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องติดนิสัยสละชีพซ้ำๆทุกชาติ เนื่องจากแต่ละสถานการณ์เลวร้ายมีหนทางช่วยได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตพลีชีพเป็นทานเสมอไป
อย่างเช่นท่านฤาษีใน ตัวอย่างข้างต้นนั้น ท่านก็เห็นว่าตนเองมีอายุพอสมควร สั่งสอนสานุศิษย์มานานพอ ไม่มีอะไรข้างหลังให้เป็นห่วง ท่านจึงไม่อาลัยไยดีในโครงกระดูกฉาบเนื้อที่รอวันผุพังในเร็ววันนั้น แต่หากท่านยังหนุ่มแน่น ยังไม่บำเพ็ญตบะจนบรรลุฌานตามจุดมุ่งหมายใหญ่ของชีวิต ท่านก็อาจข่มความสงสารไว้ รักษาเลือดเนื้อไว้ทำประโยชน์ให้ถึงที่สุดเสียก่อน
ความจริงยังมี วิธีสละชีพอีกหลายแบบ ขอกล่าวเปรียบเทียบไว้ด้วยว่า การสละชีพเพื่อคนอื่นไม่จำเป็นต้องมีมหากุศลจิตเป็นจิตสุดท้ายเสมอไป อย่างเช่นบางท่านรู้ตัวว่าเป็นคนดัง ถ้าฆ่าตัวตายจะเป็นข่าวใหญ่เรียกร้องความสนใจจากประชาชน สามารถกดดันให้แก้กฎหมายผิดๆได้ ถ้าหากจิตยังเคลือบอยู่ด้วยความเศร้าหมอง มีความท้อใจกับกระบวนการยุติธรรมอยู่ อันนี้ก็ตั้งมั่นเป็นฌานแบบท่านฤาษีไม่ได้นะครับ ให้เป็นกุศลที่สุดก็ได้แค่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องกันใหม่อีก
สรุปโดยรวมแล้ว การฆ่าตัวตายหรือการยอมตายเริ่มมาจากวิธีคิดที่แตกต่าง มีความเป็นไปได้หลากหลาย ไม่ใช่อะไรที่ตายตัว
คุณ อาจเคยได้ยินมาว่าถ้าฆ่าตัวตายครั้งหนึ่ง จะต้องฆ่าตัวตายซ้ำอีก ๕๐๐ ชาตินั้น เป็นเพียงความเชื่อที่สืบๆกันมานะครับ ไม่ใช่ความจริงอันเป็นสากล โบราณาจารย์ท่านเพียงระบุไว้คร่าวๆเพื่อให้เห็นความน่ากลัวของการฆ่าตัวตาย ว่ามีผลให้จิตใจอ่อนแอและต้องปลิดชีพตนเองอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเป็นกฎตายตัวว่าฆ่าตัวตายหนึ่งครั้งต้องฆ่าตัวตายซ้ำอีก ๕๐๐ หน อย่างนี้มิแปลว่าต้องเอา ๕๐๐ คูณเข้าไปในการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ?
ชีวิต เป็นของมีค่า ได้มาโดยยาก หากคุณไม่เห็นค่า ชีวิตก็ไม่ง้อและยินยอมให้ทำลายได้ง่ายๆ แค่เอามืออุดปากอุดจมูกเดี๋ยวเดียวก็ม่องเท่งแล้ว แต่การพยายามเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดานี่สิ คุณต้องสั่งสมบุญกุศลกันเหงื่อไหลไคลย้อยแรมปีเลยล่ะกว่าจะได้มา
ขอบคุณเนื้อหาจาก :: vipassana.de.tl และ saraupdate