12 วิธีที่ร่างกายของคุณพยายามบอก...ว่าตับของคุณถูกทำลายแล้ว!
ตับ เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และเป็นหนึ่งในของแข็งที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทหลักคือกำจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากร่างกาย
มันตั้งอยู่ทางขวามือด้านบนของหน้าท้อง โดยถูกซี่โครงบางส่วนปกคลุม มันมีแนวโน้มว่าจะทำให้เกิดโรคได้นับร้อยชนิด และบางส่วนเกี่ยวที่ข้องกับโรคตับ ก็คือโรคไขมันในตับ ตับอักเสบ โรคตับที่เกิดจากแอลกอฮอล์ และโรคตับแข็ง แต่ละโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคตับ อาจทำให้เกิดอาการที่เฉพาะเจาะจง แม้แต่ช่วงระยะแรกที่เป็นโรค ก็สามารถส่งผลกระทบต่อตับในทำนองเดียวกันได้
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่รุนแรง คุณควรเรียนรู้สัญญาณเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่า ตับได้รับความเสียหาย และวิธีเรียกคืนการทำงานที่เหมาะสมของมัน
1 เป็นตะคริวบ่อยและมีอาการปวดท้อง
อาการปวดที่เกิดขึ้นตรงขวามือด้านบนหน้าท้อง ด้านล่างกรงซี่โครงของคุณ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการที่ตับได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ คุณอาจต้องสัมผัสบริเวณเหล่านั้นอย่างอ่อนโยนด้วย
2 ไร้ความอยากอาหาร
หนึ่งในบทบาทของตับคือการผลิตน้ำดี ซึ่งช่วยย่อยอาหารที่บริโภคเข้าไป หากการทำงานของตับถูกขัดขวาง การผลิตของน้ำดีจะถูกจำกัด นำไปสู่การเผาผลาญอาหารที่ไม่ดี และทำให้รู้สึกจุกแน่น
3 ปัญหาทางเดินอาหาร
น้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร ดังนั้นในกรณีที่การทำงานของตับถูกขัดขวาง ก็จะทำให้เกิดปัญหาการย่อยอาหาร เช่น อาการท้องผูก และท้องอืด ท้องเฟ้อ
4 ปวดท้องบ่อย
ในกรณีที่มีอาการปวดท้องบ่อย เช่นเดียวกับอาการคลื่นไส้ และอาเจียน คุณควรไปตรวจตับ อาการคลื่นไส้มักจะเกิดจากการสะสมสารพิษ ซึ่งตับไม่สามารถกำจัดมันทิ้งไปได้
5 สีปัสสาวะเปลี่ยน
หากสีของปัสสาวะคุณเปลี่ยนไป แม้ว่าคุณจะดื่มน้ำมากพอแล้วก็ตาม คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับตับ กล่าวคือ ไตสร้างระดับบิลิรูบินในกระแสเลือด ซึ่งอาจจะสูงเกินกว่าที่ตับจะกำจัดออกไปได้ แต่สีเข้มของปัสสาวะก็อาจจะเป็นผลมาจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเช่น วิตามินบี หรือการคายน้ำก็เป็นได้
6 สีอุจจาระเปลี่ยน
ตับของคุณอาจได้รับความเสียหายในกรณีที่อุจจาระเป็นสีเหลืองอ่อน สีเหมือนดินเหนียว หรือสีเทา ซึ่งสีน้ำตาลเข้มจะเกิดจากน้ำดีที่ผลิตโดยตับ
7 โรคท้องร่วง ท้องผูก และลำไส้มีเลือดออก
เมื่อตับเกิดความเสียหาย อาจยังอาจนำไปสู่โรคท้องร่วง ท้องผูก หรือถึงกระทั่งมีเลือดออกในลำไส้ ดังนั้นหากเกิดปัญหาเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่งกับคุณ คุณควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
8 ภาวะบวมน้ำ
ท้องอืดเป็นอาการที่เกิดจากตับได้รับความเสียหาย และแม้กระทั่งโรคตับแข็ง ก็เกิดจากของเหลวที่สะสมอยู่ในกระเพาะอาหาร
9 เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า และอ่อนเพลีย
แม้ว่าคุณจะได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ แต่หากตับของคุณถูกทำลาย คุณก็จะยังรู้สึกเหนื่อย กล่าวคือ สารพิษเริ่มหมักหมมเข้าสู่กระแสเลือด จึงส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายและอวัยวะ อย่างเช่น สมอง หัวใจ เนื้อ
10 เยื่อและกล้ามเนื้อ เพิ่มความเสี่ยงของโรคดีซ่าน
เนื่องจากความสามารถในการกำจัดบิลิรูบินในกระแสเลือดของตับลดลง ระดับของบิลิรูบินเพิ่มขึ้น จึงเพิ่มความเสี่ยงของโรคดีซ่าน อาการมักจะสังเกตเห็นได้จากตา ผิวหนัง ปลายนิ้ว และลิ้นเป็นสีเหลือง
11 อาการระคายเคืองผิวหนังถาวร
อาการอื่นของโรคตับคือผิวแพ้ง่าย มีอาการคัน ผิวไวต่อการสัมผัส หรือแม้กระทั่งเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อ้างอิง...healthyfoodhouse.com
ตับ เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และเป็นหนึ่งในของแข็งที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทหลักคือกำจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากร่างกาย
มันตั้งอยู่ทางขวามือด้านบนของหน้าท้อง โดยถูกซี่โครงบางส่วนปกคลุม มันมีแนวโน้มว่าจะทำให้เกิดโรคได้นับร้อยชนิด และบางส่วนเกี่ยวที่ข้องกับโรคตับ ก็คือโรคไขมันในตับ ตับอักเสบ โรคตับที่เกิดจากแอลกอฮอล์ และโรคตับแข็ง แต่ละโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคตับ อาจทำให้เกิดอาการที่เฉพาะเจาะจง แม้แต่ช่วงระยะแรกที่เป็นโรค ก็สามารถส่งผลกระทบต่อตับในทำนองเดียวกันได้
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่รุนแรง คุณควรเรียนรู้สัญญาณเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่า ตับได้รับความเสียหาย และวิธีเรียกคืนการทำงานที่เหมาะสมของมัน
นี่คือสัญญาณแรกเริ่ม 12 ประการเมื่อตับถูกทำลาย
1 เป็นตะคริวบ่อยและมีอาการปวดท้อง
อาการปวดที่เกิดขึ้นตรงขวามือด้านบนหน้าท้อง ด้านล่างกรงซี่โครงของคุณ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการที่ตับได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ คุณอาจต้องสัมผัสบริเวณเหล่านั้นอย่างอ่อนโยนด้วย
2 ไร้ความอยากอาหาร
หนึ่งในบทบาทของตับคือการผลิตน้ำดี ซึ่งช่วยย่อยอาหารที่บริโภคเข้าไป หากการทำงานของตับถูกขัดขวาง การผลิตของน้ำดีจะถูกจำกัด นำไปสู่การเผาผลาญอาหารที่ไม่ดี และทำให้รู้สึกจุกแน่น
3 ปัญหาทางเดินอาหาร
น้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร ดังนั้นในกรณีที่การทำงานของตับถูกขัดขวาง ก็จะทำให้เกิดปัญหาการย่อยอาหาร เช่น อาการท้องผูก และท้องอืด ท้องเฟ้อ
4 ปวดท้องบ่อย
ในกรณีที่มีอาการปวดท้องบ่อย เช่นเดียวกับอาการคลื่นไส้ และอาเจียน คุณควรไปตรวจตับ อาการคลื่นไส้มักจะเกิดจากการสะสมสารพิษ ซึ่งตับไม่สามารถกำจัดมันทิ้งไปได้
5 สีปัสสาวะเปลี่ยน
หากสีของปัสสาวะคุณเปลี่ยนไป แม้ว่าคุณจะดื่มน้ำมากพอแล้วก็ตาม คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับตับ กล่าวคือ ไตสร้างระดับบิลิรูบินในกระแสเลือด ซึ่งอาจจะสูงเกินกว่าที่ตับจะกำจัดออกไปได้ แต่สีเข้มของปัสสาวะก็อาจจะเป็นผลมาจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเช่น วิตามินบี หรือการคายน้ำก็เป็นได้
6 สีอุจจาระเปลี่ยน
ตับของคุณอาจได้รับความเสียหายในกรณีที่อุจจาระเป็นสีเหลืองอ่อน สีเหมือนดินเหนียว หรือสีเทา ซึ่งสีน้ำตาลเข้มจะเกิดจากน้ำดีที่ผลิตโดยตับ
7 โรคท้องร่วง ท้องผูก และลำไส้มีเลือดออก
เมื่อตับเกิดความเสียหาย อาจยังอาจนำไปสู่โรคท้องร่วง ท้องผูก หรือถึงกระทั่งมีเลือดออกในลำไส้ ดังนั้นหากเกิดปัญหาเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่งกับคุณ คุณควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
8 ภาวะบวมน้ำ
ท้องอืดเป็นอาการที่เกิดจากตับได้รับความเสียหาย และแม้กระทั่งโรคตับแข็ง ก็เกิดจากของเหลวที่สะสมอยู่ในกระเพาะอาหาร
9 เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า และอ่อนเพลีย
แม้ว่าคุณจะได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ แต่หากตับของคุณถูกทำลาย คุณก็จะยังรู้สึกเหนื่อย กล่าวคือ สารพิษเริ่มหมักหมมเข้าสู่กระแสเลือด จึงส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายและอวัยวะ อย่างเช่น สมอง หัวใจ เนื้อ
10 เยื่อและกล้ามเนื้อ เพิ่มความเสี่ยงของโรคดีซ่าน
เนื่องจากความสามารถในการกำจัดบิลิรูบินในกระแสเลือดของตับลดลง ระดับของบิลิรูบินเพิ่มขึ้น จึงเพิ่มความเสี่ยงของโรคดีซ่าน อาการมักจะสังเกตเห็นได้จากตา ผิวหนัง ปลายนิ้ว และลิ้นเป็นสีเหลือง
11 อาการระคายเคืองผิวหนังถาวร
อาการอื่นของโรคตับคือผิวแพ้ง่าย มีอาการคัน ผิวไวต่อการสัมผัส หรือแม้กระทั่งเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หากคุณมีอาการดังที่กล่าวมานี้ เราแนะนำให้ไปพบแพทย์ เพื่อได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่ถูกต้อง
อ้างอิง...healthyfoodhouse.com