วิธีขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย และการกู้รถหากดับคาน้ำ

ปภ.​ ​แนะผู้ขับขี่เรียนรู้เทคนิคขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม ​กู้รถดับกลางน้ำ​ เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง

          นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า การขับรถผ่านเส้นทาง​ที่มีน้ำท่วมสูงมีความเสี่ยงต่อการได้รับอันตราย และเครื่องยนต์ชำรุดเสียหาย เพื่อความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอแนะข้อควรปฏิบัติในการขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วมและเทคนิคการกู้รถ​ เมื่อเครื่องยนต์ดับบนเส้นทางน้ำท่วม ดังนี้


ขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม

car tip


          - ปิดเครื่องปรับอากาศ ถ้าหากเปิดไว้พัดลมแอร์จะทำงาน ตีน้ำให้กระจายเต็มห้องเครื่อง จนรถดับทั้งระบบ ระบบไฟช็อตได้ และการตีน้ำอาจทำให้ใบพัดลมหัก เสียค่าซ่อมบานปลาย

          - ใช้ความเร็วต่ำ โดยรักษาความเร็วให้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันคลื่นน้ำที่อาจตีกลับเข้าหารถ

          - ไม่เร่งเครื่องมากเกินไป เพราะทำให้ความร้อนสูงมาก เกิดการเปลี่ยนอุณหภูมิโลหะอย่างรวดเร็ว เกิดรอยร้าวที่บล็อกเครื่อง

          - ใช้เกียร์ต่ำ หากเป็นรถยนต์เกียร์ธรรมดา ให้ใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 พยายามเลี้ยงคลัตช์ พร้อมเร่งเครื่องยนต์ให้รอบเครื่องสูงกว่าปกติเล็กน้อย รถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ควรใช้เกียร์ L และรักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่
car tip

       - ลดการใช้เบรก ใช้แรงเฉื่อยของเครื่องยนต์ในการหยุดหรือชะลอความเร็วรถ เพื่อความปลอดภัย ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกรณีรถคันหน้าขัดข้องหรือหยุดกะทันหัน

          - หลังขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม ควรตรวจสอบระบบเบรกและคลัตช์ โดยเหยียบย้ำเบรกและคันเร่งสลับกันอย่างช้า ๆ โดยทำซ้ำ ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรก จะช่วยให้ระบบเบรกใช้งานได้ตามปกติ สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา ให้เหยียบย้ำคลัตช์ เพื่อป้องกันคลัตช์ลื่น

          - พ้นทางน้ำท่วม ควรขับรถต่อไปอีกประมาณ 20 นาที เพื่อไล่น้ำหรือความชื้นที่ค้างอยู่ในระบบต่าง ๆ ของรถและเครื่องยนต์  ไม่ดับเครื่องยนต์ในทันที หากถึงที่หมายแล้วก็พักรถโดยไม่ดับเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที พร้อมเปิดเครื่องปรับอากาศ จะช่วยให้เครื่องยนต์แห้งเร็วขึ้น

เมื่อรถเครื่องยนต์ดับขณะขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม    
car tip

          - ให้รีบนำรถออกจากเส้นทางที่มีน้ำท่วม โดยใช้วิธีลาก จูง จากนั้นเปิดฝากระโปรงรถ และปลดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อไม่ให้ไฟฟ้าเข้าไปเลี้ยงระบบต่าง ๆ ของรถ เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายมากขึ้น

          - ระบายน้ำในห้องเครื่อง โดยถอดนอตอ่างน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ เฟืองท้าย ถังน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อน้ำที่ขังอยู่ไหลออกมาหมดให้ขันนอตปิด ตัดระบบไฟฟ้าไม่ให้ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์    

          - ปลดอุปกรณ์ที่เป็นขั้วไฟฟ้า และปลั๊กทุกตัวในห้องเครื่อง พร้อมถอดหัวเทียน แผงฟิวส์ กล่องรีเลย์ และกล่องสมองกล (ECU) ปล่อยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ แห้ง โดยการตากแดด เป่าด้วยลมร้อน หรือใช้สเปรย์ฉีดไล่ความชื้นจากชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้แห้งสนิท หรือไม่มีความชื้น จากนั้นให้ประกอบชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้ากลับเข้าที่เดิม
          - ทดสอบเครื่องยนต์ในเบื้องต้น โดยเปิดสวิตช์ไฟ เพื่อตรวจดูแผงไฟหน้าปัดรถ พร้อมทดลองสตาร์ทรถหลาย ๆ ครั้ง โดยไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่ออุ่นเครื่องและไล่ความชื้นในห้องเครื่อง สังเกตอาการของเครื่องยนต์

          - ทดลองเข้าเกียร์ทุกตำแหน่งขณะที่รถจอด หากทุกเกียร์ตอบสนอง ให้ลองเคลื่อนรถโดยใช้เกียร์ต่ำ
car tip

          - หากรถมีอาการสะดุด เครื่องยนต์สั่น หรือเร่งเครื่องยนต์ไม่ขึ้น ให้นำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ เพื่อให้ช่างดำเนินการตรวจสอบก่อนนำรถไปใช้งาน

          - ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว หากไม่สามารถใช้งานได้ ให้เปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ก่อนนำรถไปใช้งาน

กรณีไม่สามารถนำรถออกจากเส้นทางน้ำท่วมได้


          - ให้นำแม่แรงมายกรถให้สูงขึ้น พร้อมนำอิฐ  ไปค้ำยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ ให้สูงกว่าระดับน้ำท่วม

          - ถอดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อป้องกันระบบไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหาย

          ทั้งนี้ หลังขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบเครื่องยนต์ หากรถมีอาการผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์สั่น เดินไม่เรียบ เสียงดัง เร่งเครื่องไม่ขึ้น น้ำมันเกียร์มีสีคล้ายสีชาเย็น เป็นต้น ควรนำรถไปให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจสอบสภาพก่อนนำรถไปใช้งาน จะช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

ข​อขอบคุณข้อมูลจาก ​​ก​รมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)