ยาเขียวใช้กินแทนยา พารา สุดยอดของดีเมืองไทย ราคาถูก

หลายคนไม่เคยรู้ ยาเขียวใช้กินแทนยา พารา สุดยอดของดีเมืองไทย ราคาถูก

ยาเขียวเป็นตำรับยาไทย ตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้าน ที่มีการใช้กันมานานหลายทศวรรษ และเป็นตำรับที่ยังมีการผลิตขายทั่วไปตราบจนปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปในสมัยก่อนจะรู้จักวิธีการใช้ยาเขียวเป็นอย่างดี กล่าวคือ

ใช้รักษาและแก้อาการไข้ ตัวร้อน แก้อาการปวดต่างๆ และมักใช้ยาเขียวในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว หายไวไม่ต้องกลับมาเป็นซ้ำอีก


ทำไมยาเขียวถึงกลายเป็นยาตำรับที่ยังใช้กันอยู่ เมื่อเราลองหันมองย้อนกลับไปในอดีต น้อยคนนักที่จะไม่เคยเป็นอีสุกอีใสหรือไข้ออกผื่น และ ตัวเลือกไม่กี่อย่างที่จะสามารถจัดการกับอาการเหล่านั้นได้ นั้นก็คือ “ยาเขียว” หลายๆคนคงขยาดกับยาเขียวและคงพูดว่า “ไม่เอาอีกแล้ว ไม่กินอีกแล้ว มันขมมาก”

หากเราเป็นไข้ ปวดหัว ปวดท้อง ปวดเนื้อปวดตัว ตามประสาคนไทยก็คงนึกถึงแต่พาราเซตามอลขนาด 500 mg. แต่รู้มั้ยว่าเจ้ายาพาราชนิดนี้ ‘มีผลเสียต่อตับมากกว่าผลดี’ ในต่างประเทศเลยรณรงค์ไม่กินยาพาราพร่ำเพรื่อกันแล้ว แต่เราคนไทยก็ไม่ต้องคิดเยอะว่าถ้าไม่มีพาราแล้วต่อไปจะกินอะไรแก้ปวดได้ มีความรู้จากเพจ สมุนไพรหมอศุภ ที่ได้เผยว่า ‘ยาเขียว’ บ้านเรานี่แหละ ทดแทนยาพาราได้แน่นอน

อันที่จริงการใช้ยาเขียวในโรคไข้ออกผื่นในแผนไทย ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการยับยั้งเชื้อไวรัส แต่ต้องการกระทุ้งพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมามากที่สุด ผู้ป่วยจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นภายใน ดังนั้นจึงมีหลายคนที่กินยาเขียวแล้วจะรู้สึกว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยจึงแนะนำให้ใช้ทั้งวิธีกินและชโลม โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการชโลมจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง


โดยสรรพคุณดั้งเดิมของยาเขียวนั้น


แก้ได้ตั้งแต่เป็นไข้ ร้อนใน ง่ายๆว่าถ้ารู้สึกตัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้ ตากฝน เพลียแดด ปวดหัวตึ้บๆ สามารถกินยาเขียวได้เลย ซองละ 5 บาทเท่านั้น แถมยังช่วยบำรุงตับ บำรุงร่างกาย ไม่สร้างผลเสียเหมือนยาทั่วไปที่เรากินกันอยู่ทุกวันล้านเปอร์เซ็นต์


สรุปได้ว่า ยาเขียวเป็นยาที่ใช้กันมานาน และเป็นมรดกทางการแพทย์แผนไทยที่ควรสืบทอด พร้อมกับศึกษาทางคลินิก หรือการรวบรวมข้อมูลการใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อไป


ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ สมุนไพรหมอศุภ