บางทีคนใกล้ชิดอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวร..ของคุณก็ได้
บางทีคนใกล้ชิดอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวร..ของคุณก็ได้
เจ้ากรรมนายเวรที่ว่าก็คือ
คน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมไปถึง
เจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็นที่เราได้ไปก่อกรรมให้เขาเกิดความไม่พอใจหรือเกิดความอาฆาตเพราะว่า
เขามีเหตุต้องสูญเสียในสิ่งที่รักด้วยการกระทำของเรา
การกระทำทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางตรงด้วยทาง
กาย, วาจา, หรือใจก็ตาม หรือแม้แต่เราเป็นผู้มีส่วนในกรรมหรือการกระทำนั้น
ๆด้วยสิ่งที่เจ้ากรรมนายเวรต้องการจากเราก็คือ การ “ชดใช้”
และเขาก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้เราได้ชดใช้การกระทำนั้น
หรืออย่างน้อยถ้าเราไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกรรมโดยตรงก็ต้องมีส่วนร่วมชดใช้กรรมดังกล่าวโดยทางอ้อม
เจ้ากรรมนายเวรนั้น มีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ “เจ้ากรรมนายเวรที่ยังมีชีวิตและไม่มีชีวิต”
ซึ่งตัวเราเองต้องแยกให้ออกเพื่อจะได้เข้าใจว่าเจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริงของเราว่าท่านเป็นใคร
เราจะได้ไปทำการแก้ไขและขออโหสิกรรมไม่ให้กรรมเก่านั้นส่งผลต่อเราอีก
และกรรมใหม่ที่เรากำลังจะได้สร้างขึ้นนั้นเป็นกรรมที่ดีและเป็นกุศล
ไม่ได้ก่อขึ้นเพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรเดือดร้อน
อีกทั้งการสร้างกรรมนี้นั้นจะเป็นการคลายกรรมเก่านั้นให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
1. เจ้ากรรมนายเวรที่ยังมีชีวิต
เจ้ากรรมนายเวรประเภทนี้เราเห็นได้ในภพชาติปัจจุบัน
เป็นได้ทั้งคน,สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตที่เราได้พบเจอ
และเราเองเคยได้ก่อกรรมหรือมีส่วนร่วมในการกระทำนั้นทำให้เจ้ากรรมนายเวรเกิดความไม่พอใจ
เป็นได้ ทั้ง พ่อ แม่
เพื่อนฝูงที่ทำงานหรือแม้แต่ญาติพี่น้องของตัวเองที่ต้องมีเหตุการณ์ใด
ๆมาเกี่ยวข้องให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจหรือความทุกข์ในรูปแบบใด
ๆทั้งทางกาย วาจา
และใจก็คือการเกี่ยวพันกันของความเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างหนึ่ง
2. เจ้ากรรมนายเวรแบบที่ไม่มีชีวิต
เจ้ากรรมนายเวรแบบนี้เราไม่อาจจับต้องพิสูจน์ให้เห็นกันจะ
ๆแบบเจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิตได้
เปรียบไปก็เหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่มองไม่เห็นแต่สามารถทำให้หลอดไฟสว่างได้
หรือเป็นได้เหมือนกับคลื่นวิทยุที่มองไม่เห็น ไม่มีสี ไม่มีรูป
แต่กลับมาทำให้วิทยุเกิดเสียง
เจ้ากรรมนายเวรประเภทนี้จะเป็นผู้คอยสกัดกั้นความสุข
หรือความสำเร็จของเราในทุกวิถีทางจนกว่าเราจะได้ชดใช้หนี้เขาให้หมดสิ้นจึงจะยอมปลดปล่อยเราให้เป็นสุขหรือเป็นอิสระเป็นได้ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจ
หรือวิญญาณตามอาฆาต
เคล็ดการขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร
หลังจากการทำบุญใดๆแล้วก็ตามให้รีบอุทิศบุญให้คนอื่นไปด้วยทั้งคนทำทั้งคนรับได้เหมือนกันหมด
เหมือนจุดเทียนไว้เล่มหนึ่งแล้วต่อเทียนกันไปคนให้บุญก็ไม่หมดและเป็นแสงสว่างให้คนอื่น
ผู้ที่เราควรจะส่งบุญไปให้ได้ได้แก่
พ่อแม่,ญาติพี่น้อง,ครูบาอาจารย์, เหล่าเทพเทวดา,เหล่าเปรตและภูตผีปิศาจ,
เจ้ากรรมนายเวร
และสุดท้ายคือสัตว์โลกทั้งหลายอีกมากมายที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมดให้ได้รับบุญไปด้วย
สำหรับเจ้ากรรมนายเวรก็จะเอ่ยหรือนึกถึงแล้วส่งบุญไปให้ด้วยคำว่า
“อิทัง
สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี”
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง
ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข”
เสร็จแล้วให้ตั้งจิตอธิษฐาน หรือ กล่าวคำอธิษฐานอโหสิกรรมใหญ่กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายว่า
“ข้าพเจ้า………………..ขออโหสิกรรม
กรรมใดที่ทำให้แก่ผู้ใด ในชาติใดๆก็ตาม
ขอให้เจ้ากรรมนายเวรจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าอย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีกเลย
หรือแม้แต่กรรมที่ใครๆทำแก่ข้าพเจ้าก็ขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น
ขอยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทานเพื่อที่จะได้ไม่มีเวรมีกรรมกันต่อไป
ด้วยอานิสงส์แห่ง
อภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า ครอบครัวบุตรหลาน ตลอดจนวงศาคณาญาติ
และผู้มีอุปการคุณของข้าพเจ้า มีความสุข ความเจริญ
ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชอบด้วยเทอญ”
(จากหนังสือ วิธีใช้หนี้พ่อแม่และหน้าที่ของเด็กโดย พระเดชพระคุณ พระธรรมสิงหบุราจารย์ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี)
วิธีอธิษฐานจิตแผ่เมตตา ให้เกิดบุญมาก
การสวดมนต์”
การสวดมนต์นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคนในยุคนี้ สะดวกมากในทุกเพศ
ทุกวัยและไม่ใช่แค่เรื่องของคนมีอายุ คนเคร่งครัดอีกต่อไป บทสวดมนต์ต่างๆ
มีการเผยแพร่ออกมามากมายในรูปแบบต่างๆ
ที่เห็นกันและได้ยินกันจนเคยชินมากมาย ทุกครั้งที่สวดมนต์
ตามจริตบุญของตนแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านบอกวิธีที่จะทำให้บุญมากคือ
1.
ทำสมาธิต่อหลังสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว
อย่าเพิ่งเลิกให้นั่งทำสมาธิเจริญภาวนาต่อ
เน้นไปที่ด้านวิปัสสนาเมื่อจิตเรานิ่ง ให้พิจารณาเรื่องไตรลักษณ์
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การไม่เที่ยงทั้งหลาย
ที่ต้องเสื่อมผุพังไปตามกาลเวลา หลายคนใช้วิธีนึกถึงภาพคนใกล้ชิด
สรรพสัตว์ในการพิจารณาธรรมที่เคยสัมผัสเห็นมาทุกช่วงชีวิตทั้งเกิด แก่ เจ็บ
ตาย ที่เราพิจารณานี้เป็นการวิปัสสนาซึ่งเกิดผลบุญเพิ่ม
2.ให้อธิษฐานจิต
เป็นการรวมบุญที่ทำมาในวันนี้และบุญที่เคยทำมาทุกภพชาติเป็นกองบุญพร้อมจะอุทิศให้แก่สรรพสัตว์
บรรพบุรุษ ตัวเราเอง และคน พรหมเทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ดวงจิตวิญญาณที่เราปรารถนาที่จะส่งบุญ อุทิศบุญนี้ให้
3.แผ่เมตตา กล่าวแผ่เมตตาให้ตนเอง ให้สรรพสัตว์ ให้ทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิตวิญญาณที่เราอยากจะให้บุญแก่เขา
ทั้ง
3 วิธีนี้เป็นเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์
ที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้และเกิดผลมากแก่คนทั้งหลาย
บางคนเปลี่ยนชีวิตได้ทันที ขอจงอย่าประมาทในชีวิต
และอย่าเสียโอกาสเมื่อเวลามาถึง ทาน ศิล ภาวนา
เท่านั้นที่จะนำท่านไปสู่สุขติภพ ขอให้กัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ทุกท่าน
พบแต่ความสุข ความเจริญ รุ่งเรืองตลอดไป