รวยแล้วบอกต่อ! เผยหมดเปลือกการเลี้ยงกบสร้างรายได้ โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น!

หน้าฝนมาแบบนี้ การเพาะเลี้ยงกบในบ่อดิน ก็เป็นอีกทางเลือกสร้างรายได้ให้ผูที่มีเวลาจำกัดหรือ ผูเกษียรอายุได้ลอง

ข้อดีการเลี้ยงกบในบ่อดิน

1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่ทุ่งไร่ ทุ่งนาได้ดี
2. ลงทุนต่ำ กว่าเลี้ยงในบ่อปูน และแบบกระชัง
3. ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ
4. ไม่เปลืองอาหารมากนัก เพราะกบยังหาอาหารตามธรรมชาติกินได้
5. เป็นการเลี้ยงเชิงพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก ไม่ต้องดูแลอะไรมากมาย ผู้เลี้ยงมีเวลาทำงานอย่างอื่นๆได้มาก
6. กรณีถ้าระบบน้ำดีๆกบจะไม่ค่อยเป็นโรค และแข็งแรงดี
7. เป็นการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดอีกแบบหนึ่ง
8.กบโตเร็ว เป็นโรคน้อย ขากบไม่เป็นแผล ไม่ค่อยตาย โอกาศรอด 90%

การเลี้ยงกบเป็นอาชีพ หนึ่งที่สามารถทำรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งในการเลี้ยงนั้นควรมีความเข้าใจถึงวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องก่อนจึงจะทำ ให้การเลี้ยงประสบความสำเร็จได้

บ่อเพาะลูกกบ

วัสดุที่ใช้

1. ตาข่าย
2. ผ้ายาง
3. ลวด
4. ครีมตัดลวด

ขั้นตอนการทำบ่อ

- ขุดบ่อขนาด 1.50 x 2.00 เมตร ความลึกตรงกลางของบ่อ ประมาณ 15 เซนติเมตร
- ขอบบ่อปรับพื้นดินให้มีความลาดเอียง
- นำผ้ายางมาปู แล้วนำดินมากลบขอบผ้ายางให้มิดชิด
- นำตาข่ายมาล้อมรอบบ่อ เพื่อป้องกันศัตรูกบ
- นำหญ้ามาปลูก เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อให้พ่อแม่พันธุ์ขึ้นไปหลบซ่อนตัวได้
- ต่อท่อน้ำติดสปริงเกอร์ เพื่อทำเป็นฝนเทียม
การผสมพันธุ์กบ

ส่วนมากกบจะทำการผสมพันธุ์ และวางไข่หลังจากฝนตก เมื่อเลือกกบ ที่มีลักษณะดีแล้วให้นำมาปล่อยในบ่อผสมพันธุ์ในอัตราตัวผู้ 5 ตัวต่อตัวเมีย 10 ตัว (ตัวผู้กับตัวเมียมีขนาดเท่ากัน) ระดับน้ำในบ่อลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ภายในบ่อ ใส่พวกหญ้าไปด้วยพอประมาณ รักษาระดับน้ำให้คงที่ตลอดเวลา ในช่วงนี้งดให้ อาหารประมาณ 2-3 วัน ถ้ายังไม่มีฝนตกให้เปลี่ยนน้ำใหม่และอาจพ่นน้ำในบ่อผสมพันธุ์ ไห้เหมือนกับฝนตก หลังจากนั้นกบก็จะผสมพันธุ์และวางไข่ในเวลาเช้ามืด

หลังจากกบวางไข่แล้ว ให้นำพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ออกจากบ่อ หลังจากการวางไข่ประมาณ 1 วัน ไข่ก็จะฟักออกเป็นตัว
การอนุบาลและการให้อาหาร

- หลังจากที่ลูกกบฟักเป็นตัวอีกประมาณ 2 วัน เราค่อยให้อาหาร
- สัปดาห์ที่ 1 ให้กินไข่แดงไปก่อน วันละ 1 ครั้ง
- เปลี่ยนถ่ายน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง การเปลี่ยนน้ำให้เอาน้ำในบ่อออกประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำที่มีในบ่อ หลังจากนั้นใำห้เพิ่มน้ำเข้าไปให้ได้ระดับเดิม (หรืออาจจะเปลี่ยนน้ำเมื่อสังเกตเห็นว่าน้ำเริ่มเน่าเสียแล้ว)
- สัปดาห์ที่ 2 ให้กินไข่แดงตอนเช้า ตอนเย็น ให้หัวอาหารกบเบอร์เล็กสุด บดให้เป็นผง แล้วโรยให้ทั่วบ่อ
สังเกต ด้วยว่า หากอาหารในบ่อยังเหลือ ตอนเย็นก็ไม่ต้องให้อาหารเพิ่ม เพราะจะทำให้น้ำเน่าเสีย
- เปลี่ยนถ่ายน้ำเมื่อสังเกตเห็นว่าน้ำเริ่มเน่าเสียแล้ว
- สัปดาห์ที่ 3 ให้เฉพาะหัวอาหาร บดให้แตก แต่ไม่ต้องให้แตกละเอียดมาก วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น
- สัปดาห์ที่ 4 เมื่อสังเกตเห็นว่า ลูกอ๊อดมีขางอกออกมาแล้วก็สามารถจับจำหน่ายได้

แนวทางการเลี้ยงกบแบบธรรมชาติ(ไม่ต้องให้อาหาร)

หากเราเลี้ยงกบให้อยู่ในสถานที่ที่เลียนแบบธรรมชาติที่สุด เราก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเลยครับ แต่ในช่วงแรกที่กบยังเล็กอยู่ก็ให้อาหารเม็ดไปก่อนก็ได้ครับ(ถ้าได้แนวทางไม่ให้อาหารเม็ดตั้งแต่แรกเกิดเลยจะมาเขียนบทความบอกเล่าเก้าสิบนะครับ) พอกบเริ่มโตพอที่จะหากินเองก็ให้ลดอาหารเม็ดลง จากที่ให้เช้าเย็น ก็เป็นช่วงเช้าอย่างเดียว และในท้ายที่สุดก็ไม่ให้เลยครับ

ในการสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับเลี้ยงกบนั้น จะขึ้นอยู่กับพื้นที่ของแต่ละบุคคลถ้าพื้นที่น้อยก็ทำน้อย พื้นที่มากก็ทำมาก(ทำสภาพแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติ) โดยเราต้องล้อมบริเวณที่เลี้ยงกบด้วยผ้ามุ้งฟ้ากันกบหนี (ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้กระเบื้องแผ่นเรียบฝังดินไว้อีกชั้นกันงู กันสัตว์เลื้อคลานเข้าไปกินกบ และภายในให้ทำการขุดบ่อเพื่อเป็นที่อยู่สำหรับกบ ถ้าสามารถขุดได้ลึกพอก็ให้ปล่อยปลานิล ปล่อยหอยขมลงไป ปลานิลจะกินแพลงตอน หอยขมจะกินขี้ปลาหรือตะไคร่น้ำ และลูกหอยขมจะเป็นอาหารกบอีกที

และที่สำคัญในบริเวณที่กั้นผ้ามุ้งที่กั้นเลี้ยงกบ ให้ปลูกพืช ผัก ดอกไม้ หลายๆชนิดผสมสานกันไป สิ่งเหล่านี้จะล่อแมลงมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เราได้ประโยชน์สองต่อคือ กบได้กินแมลงเป็นอาหาร พืชผักโตได้โดยไม่ต้องใช้สารฆ่าแมลง .. จากการสังเกตของผมกบจะขึ้นจากน้ำมาหากินแมลงในตอนกลางคืน(ถ้าต้องการจะจับกบไปบริโภคหรือขาย จับตอนกลางคืนจะง่ายกว่าครับ)

ข้อควรระวัง : คอยตรวจตราไม่ให้ผ้ามุ้งขาดเพราะจะเป็นช่องทางให้งูเลื้อยเข้ามากินกบได้ , ควรปลูกไม้ที่เป็นร่มเงา และเป็นกำบังไม่ให้นกโฉบเข้ามากินกบได้ (ถ้าเป็นไปได้ขึงตาข่ายไปเลยก็ได้ครับ กรณีที่มีนกเยอะ)

ที่มา - ศูนย์รวมความรู้การเกษตร